วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สรุปเรื่องราวดีๆประจำปีแบบหยาบๆ

สรุปเรื่องราวดีๆประจำปีแบบหยาบๆ
- มกราคม -
เป็นช่วงที่มีความสุขกับช่วงปีใหม่
ในเดือนนี้เข้าร้านกาแฟเป็นกิจวัติ
ฟังเพลงเสียงดีๆ จดบันทึกประจำวันได้ประปราย
นั่งดูพื้นที่ชีวิตย้อนหลังแทบหมดทุกตอน
- กุมภาพันธ์ -
ไปเสม็ดช่วงต้นเดือนกับเธอคนนั้น
กุมภาพันธ์ช่วงเฟอร์บี้ฟีเวอร์ ราคาตลาดพุ่งพรวดพราด
เชียรพี่โต้ลงสมัครผู้ว่า กทม
ใช้ชีวิตว่างๆวนเวียนอยู่แถวสวนจตุจักร
กลางเดือนเต้น Harlem Shake
เมาลีโอสามขวด
ปลายเดือนไปงานบวชไอ้บอย
- มีนาคม -
ได้หม่อมเป็นผู้ว่า กทม
ดูแจ็คผู้สยบยักษ์ หมดเงินไปกับแผ่นเพลง
คิดอยากห่างๆมือถือตั้งแต่เดือนนี้ จนปัจจุบันยังทำไม่ได้
กินพิซซ่าวันเกิดพ่อ กลับมาเล่น Psp
เริ่มเสพเพลงเก่าๆ ปลายเดือนดูไอ้มดแดง
น้ำหนักขึ้นเป็น 64 วันที่ 31 ไปช้อปงานหนังสือ
เดือนนี้เป็นเดือนที่เริ่มเบื่ออะไรเดิมๆ
ถ้าว่าคิดจะเปลี่ยนตัวเองจริงๆ คงเป็นช่วงเดือนนี้
- เมษายน -
ต้นเดือนก็ยังวนเวียนอยู่ที่งานหนังสือ ประสคนเงินเดือนเพิ่งออก 
กฏห้ามขึ้นกระบะเล่นน้ำทำเอาโลกโซเชียลฮือฮา
กลางเดือนช่วงสงการณ์ กระแสพี่มากฟีเวอร์กำลังแรง
วลี "คุณมี...ของคุณ ผมมี...ของผม ก็พอแล้ว" กำลังฮิตเช่นกัน
สงการณต์วันแรกไป RCA มันจนร่างพัง เต้นในผับแบบเปียกๆ
ที่เหลือนั้งเล่นเกมอยู่บ้าน กลางเดือนดู The coods
ช่วงเวลาเดียวกับแอพติ้กเกอร์กำลังฮิต
เพิ่งรู้ตัวว่าติดค่ายสารคดี ดีใจเหรี้ยๆ ช่วงเริ่มสนุกกับการถ่ายภาพ
ปลายเดือนเจอเพื่อนเก่า ต่างคนต่างมีเรื่องเล่าน่าสนใจ
หนีงานไปทะเลวันที่ 30 เมษา
- พฤษภาคม - อายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ + ค่ายสารคดีเปลี่ยนชีวิต
ต้นเดือนมีไอร่อนแมน 3 ให้ดู
ทำสมุด D.I.Y ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
ซื้อ New balance คู่ใหม่ กับการจากไปของโซนี่วอคแมน
การเทสร่างกายของททำงาน
ทำให้รู้ว่าห่างเหินการออกกำลังกายมานานมาก
ที่บ้านดีใจยกใหญ่ที่รู้ว่าน้องสาวสอบติด ม.เชียงใหม่
ในวันที่ 11พ.ค. น่าจะเป็นช่วงจุดเปลี่ยนของชีวิต
ได้เข้าค่ายสารคดีวันแรก เจอคนเจ๋งๆอายุน้อยๆจำนวนมาก
ค้นพบว่าทุกวันนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ แล้วชีวิตก็เปลี่ยนไป
กลางๆเดือนซื้อ Ipad mini ให้น้องไปใช้
วันเกิดปีนี้ไม่ได้ไปใหน แต่แบคแพคไปเชียงใหม่หลังจากนั้นสองสามวัน
ได้เดินขึ้นดอย เห็นผู้คนที่มากด้วยความศรัทธา เห็นวิถีชีวิตคนเมือง
หลังจากไปเชียงให่กลับมา ข้าพเจ้าอยากทำงานสารคดี 
ปลายเดือนไว้อาลัยให้การจากไปของตลาดนัดรถไฟ
- มิถุนายน -
เปิดเดือนหมาด้วยศึกหน้ากากแดงขาว กับเรื่องการเมือง
ฝนตกแรงมากจนมอไซค์พังต้องเข็นเข้าอู่
กลางเดือนไปลงพื้นที่ค่างคืนกับค่ายสารคดี
เจอคนที่เจ๋งๆเยอะมากจริงๆ แต่ละคนโครตมีความฝันชัดเจน
เริ่มกลับไปเต้นบีบอยได้พักหนึ่ง เริ่มไม่สนใจความรักหงุมหงิมแล้ว
20 มิถุนา การจากลาของเหยิน หมา นักเรียนจ่าอากาศ
22 มิถุนา ออกทีวีประมาณ 5 นาที รายการเปิดบ้าน ThaPBS
23 มิถุนา ได้นั่งสนทนากับพวกฮิปปี้ มุมมองที่มีต่อคนพวกนี้เปลี่ยนไปเยอมาก
24 มิถุนา เกษตรแฟร์ สนทนากับลุงที่เย็บหนังสือขายเอง
แลกเปลี่ยนมุมมองของสังคมกันริมฟุตบาท
ปลายเดือนเสพติดายการวัฒนธรรมชุบแป้งทอด
เข้าร่วมการรับน้อง ไปดูพลังเด็กรุ่นใหม่
ปั่นงานส่งค่านสารคดี
- กรกฏาคม -
เปิดเดือนมากับหนัง ประชาธิปไทย ในช่วงที่การเมืองอุ่นๆ
เริ่มสนุกับการดูผู้คนในช่วงเดือนนี้
เป็นช่วงเดือนที่เริ่มอยากจะเขียนอะไรยาวๆในยุคที่คนชอบอ่านอะไรสั้นๆ
ได้เดินทางสายฟ้าแลบไปประจวบกับพี่ๆที่ค่ายสารคดี เป็นประสบการชีวิตที่โหดสัส
เฟลตรงที่ HDD เสีย รูปเก่าๆ หายไปเยอะมาก
บอกเลิกเธอคนนั้นคร้งแรก บังเอิญเจอไดอารี่ที่เขียนไว้ตอนมัธยมต้น
เป็นเดือนที่เริ่มเบื่อความรัก โมดิฟายมือถือจนพัง เสพติดสุราหนักขึ้น
ปลายเดือนเดินทางถ่ายรูปบีบอย
- สิงหาคม -
ต้นเดือนมีแอพ Maaii ทีหลอกกินตังผู้ใช้
ในเดือนนี้ชีวิตเริ่มนอนดึกมากขึ้น
เริ่มได้ยินคำว่า พรบ.นิรโทศกรรม ลองมาเข้าหูถี่ๆ
ช่วงเวลาที่ เดี่ยว 10 กำลังฮิต
เสพติดเพลง Acoustic & Bossa กับช่วงเวลาฝนตก
กลางเดือนมีแรงบรรดาลใจมากจนแทบล้น
เริ่มทำจิตวิทยากลุ่ม
ทำ Passport ทั้งๆที่ยังไม่รู้จะไปใหน
ปลายเดือนนั่งดู Make your move
มีวันนึงลืมเอานาฬิกากับมือถืออกจากบ้าน คนพบว่าชีวิตลำบากมาก
- กันยายน เดือนแห่งการค้นหาความหมายของชีวิต -
เปิดเดือนปั่นงานสุดท้ายค่ายสารคดีส่ง
การฮิตของ Emojination
บอกเลิกเธอคนนั้นครั้งที่สอง
ภาษีคนโสด กลายเป็นคำตัดพ้อของคนกำลังโสด
เชียรวอลเลย์บอล เชียรญี่ปุ่น 
นั่งดูงานเปิดตัวไอโฟน 5
ปิดค่ายสารคดีครั้งที9 แต่เรื่องราวต่อจากนั้นยังคงดำเนินต่อ
เดินทางไปดูชีวิตมากมายบนรถไฟ
กลางเดือนมีการประท้วงเครื่องแบบนักศึกษา
22 กันยา เดินคัดค้านเขื่อนแม่วงค์
24 - 30 เดินทาง ไปลาว มีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่า
- ตุลาคม -
กินเจได้สองสามวัน
แคมเปญ ส่งโค้กให้...มาแรงแซงโค้งมาก
ชีวิตเริ่มว่าง เริ่มตีตัวออกห่างจากกระแสสังคม
ใช้ชีวิตในโลกส่วนตัวกับหนังสือมากขึ้น หลายคนเริ่มมองว่าเป็นคนมีปัญหา
ได้ลูกแมวมา ทำหายสุดท้ายเจอมันซุกอยู่ในช่องเก็บของเล็กๆ
ไม่ได้เลี้ยงไว้ สุดท้ายต้องเอาไปปล่อย
กลางเดือนเดินงานหนังสือแทบจะทุกวันว่าง
ปลายๆเดือนได้รับความไว้วางใจให้ไปเป็นพี่เลี้ยงค่ายบางจาก
ไปอยุธยาสำรวจพื้นที่
- พฤษจิกายน -
เปิดเดือนมากับการไปค่ายบางจาก เจอวัยรุ่นไฟแรงมากมาย
รู้สึกเสียดายเวลาที่ปล่อยผ่านไปอีกแล้ว
ช่วงที่เริ่มมีการชุมนุมครั้งยิ่งใหญ่ทางการเมือง
ไปเดินชมงาน Aday bike แล้วอยากได้จักรยานซักคัน
กลางเดือนพาพ่อแม่ไปสวีทกันแถวแฟชั่น
วันลอยกระทงได้ไปถ่ายรูปเล่นสนุกดีบังเอิญเจอเพื่อนเก่าด้วย
กระแสลำยองฟีเวอร์ ได้ไปถ่ายรูปงาน 9ส้อม สนุกมาก
เด็กมหาลัยนี่น่ารักจริงๆ ซักพักเป็นไข้หนัก แทบแย่
เดือนนี้เริ่มไว้อาลัยประชาธิปไตย
ปลายเดือนลงชุมชนครั้งแรก
- ธันวาคม -
การชุมนุมเริ่มรุนแรงขึ้น เริ่มมีการใช้แก็สน้ำตา
ที่งงกว่าคือวันพ่อ ทั้งสองฝ่ายหันมาจับมือกันวันนึง
ก่อนจะสู้กันต่อในวันที่ 6 ธันวา
ไปบิ้กเม้าเท่า ค้นพบเพื่อนใหม่อีกมากมาย
ได้บันทึกช่วงเวลาดีๆไปด้วยกัน
หลงรักโปสการ์ดมากขึ้น ช่วงเดือนสุดท้ายที่ของต่างลดราคา
เดือนที่พบว่าซื้อของให้คนในบ้านไปเยอะมาก
เดือนที่พบว่าไม่อยากจะมีความรัก ไม่ต้องการแฟน
ยังคงแสวงหาการเดินทางต่อไป
เดือนที่คิดอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่
++++++++++++++++++++++++++++++
ขอให้ปีหน้ามีเรื่องราวดีๆให้ได้เรียนรู้มากขึ้นอีก 
ขอบคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตครับ

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้ กับฟิล์มใบที่ 25 ที่หายไป (มีสปอยด้านล่าง)

the_secret_life_of_walter_mitty_poster


ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้
กับฟิล์มใบที่ 25 ที่หายไป (มีสปอยด้านล่าง)
วอลเตอร์ มิตตี้ ผู้ทำหน้าที่ลำดับภาพในนิตยสารฉบับหนึ่งมานานกว่า 16 ปี
ชีวิตซ้ำซากจำเจทำให้หลายๆครั้ง เขามักผ่อนคลาย โดยการสร้างโลกจินตนาการของตัวเองขึ้นมา
ปัญหาของเขาเริ่มตั้งแต่การที่ไม่เคยได้ใช้ชีวิต จนไม่สามารถกรอกข้อมูลที่น่าสนใจ
ลงไปในช่องโปรไฟล์ของตัวเองในเวปไซท์หาคู่ได้
อีกทั้งฟิลม์ใบสำคัญซึ่งช่างภาพอิสระมากฝีมือส่งมาให้ ก็ดันมาหายไป
และดูเหมือนว่าสาวที่แอบมีใจให้ ก็ดันเริ่มเข้ามาสนใจมนตัวเขาแล้วเช่นกัน
สิ่งที่น่าสนใจคือการเดินทางออกไปตามหาภาพใบสุดท้าย
แต่ไม่รู้ว่าจะไปตามหาช่างภาพได้ที่ใหน
เนื่องจากช่างภาพคนนั้นเดินทางไปเรื่อยๆ
ใช้nikon f3/t ในยุคที่ภาพถ่ายดิจิตอลเกลื่อนกลาด
ไม่พกโทรศัพท์ ไม่มีที่อยู่ที่แน่นอน
การเดินทางโดยที่มีจุดหมายเป็นผู้คนมิใช่สถานที่
ย่อมลำบากมากขึ้นเป็นทวีคูณ
เรื่องราวมากมายระหว่างการเดินทางราวกับช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป
ชีวิตที่ถูกใช้อีกครั้ง มอบพลังที่คาดไม่ถึงให้เสมอ
การเดินทางตามาภาพถ่ายใบสุดท้ายจะเป็นเช่นไร
อยากให้ลองออกไปตามหาพร้อมๆกันในโรงภาพยนต์ 
_...................................................._
ข้อความด้านล่างอาจมีสปอย
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
สำหรับตัวผมแล้ว ความประทับใจทั้งหมดขอมอบให้กับตัวเอก
ตัวเอกที่เหมือนเป็นตัวแทนของมนุษยวัยทำงานปัจจุบันหลายคน
ที่ยอมทิ้งตัวตน ทิ้งชีวิตที่เคยใช้ ทุ่มเทเวลาให้กับ งาน เงิน
เช่นตัวเอกที่ในเรื่องจะบอกเป็นนัย
ว่าในวัยเด็กเคยเป็นแชมป์เสกตบอร์ด
และช่วงที่เก็บของเก่าแล้วเจอกระเป๋า ทีเคยใช้ท่องเที่ยวยุโรป
แบคแพคเกอร์น่าจะเป็นความฝันคลาสสิกสำหรับวัยรุ่นในยุคโหยหา
การเวลาที่ผ่านไปพร้อมๆกับเรื่องราวในชีวิต
หลังเสียพ่อที่สนิทไป ชีวิตโลดโผนก็ดูเหมือนจะเสียตามไปด้วย
ต้องเริ่มทำงาน เก็บเงิน ใช้ชีวิตสามัญ
จนภาพถ่ายใบสำคัญหาย
การเดินทางจึงได้เริ่มต้นขึ้น
ตลอดเส้นทางเจอเรื่องราวที่ไม่คาดฝันเสมอๆ
เจอคนที่คุยไม่รู้เรื่อง เจอน้ำใจที่ได้รับ
พบกับช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจแบบฉับพลัน
สิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้
ชอบตรงที่ตัวเอกทำงานในนิตยสาร
เพราะเป็นความฝันอย่างหนึ่งเช่นกัน
ชอบที่แสดงความทุ่มเทของช่างภาพจริงๆ
ชอบการเดินทางไปหาจุดหมายเคลื่อนที่ได้
ชอบภาพถ่ายจากมุมสูงที่หนังเรื่องนี้ฉายให้เห็นบ่อยๆ
ชอบเสียงดนตรีที่ค่อยๆเร่งเร้าจังหวะให้อินตาม
ชอบที่ในตอนหลังๆ
ช่วงเวลาที่ตัวเอกเริ่มบันทึกการเดินทาง
ชอบท่าวิ่งของพระเอก
ฉากไถลเสกตบอร์ดทำเอาเคลิ้มไปกับบรรยากาศ
บางฉากของหนังค่อนข้างคุมโทนให้กึ่งๆภาพจากกล้องฟิลม์
ชอบแง่คิดในการใช้ชีวิตที่แฝงแทรกมาตลอดเรื่อง
หนังจบแบบจบจริงๆ ไม่มีให้ลุ้นเก็บไปคิดเอาเอง บทสรุปแน่ชัด
บางฉากของหนังอาจจะดูเวอร์จนอาจจะรู้สึกเกินความเป็นจริง
แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าหนังมันจะสมจริงตั้งแต่ดูเมลเลอร์อยู่แล้ว
ไม่รู้ว่าถ้าอีกหลายคนได้ดูจะรู้สึกแบบเดียวกันรึเปล่า
แต่สำหรับเรา เราคิดว่า เรื่องนี้เป็นหนังที่ชอบที่สุดในรอบปีนี้แล้ว
ดูจบแล้วเกิดความรู้สึกแบบ
อยากจะออกไปพจญภัยสร้างเรื่องราวของตัวเอง
และบางทีสิ่งที่เราตามหามาตลอด
มันอาจจะไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเราเท่าไรนัก
ป.ล.ชอบโปสเตอร์ใบนี้แฮะ

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ยิงปีนลม ล้มเท่าไรเอาไปเลย

1520650_3755777390523_1090660714_n

ยิงปีนลม ล้มเท่าไรเอาไปเลย
หากใครเคยยิงน่าจะทราบว่า
ตุ้กตาแต่ละตัวแทบจะไม่สามารถล้มได้ในการยิงนัดเดียว
เต็มที่ก็ทำให้มันเขยื้อน หรืออาจจะฟลุกหล่นบ้างบางคราว
จริงๆแล้ว ความสนุกของการยิงปืนชนิดนี้
มันอาจไม่ได้อยู่ที่ว่าใน 15 นัด เราจะยิงโดนเท่าไร
แต่มันอยู่ที่ว่าเรายิงด้วยกันกับใคร
ช่วงแรกที่เริ่มเล่น ต่างคนต่างยิง
สะเปะสะปะ หวังแค่จะสะสมตุ้กตาให้เยอะ
เพื่อเอาไปแลกเป็นตัวใหญ่กว่า
เวลาเพื่อนข้างๆยิงไม่โดน
เราก็จะหัวเราถากถาง สนุกดีๆ
หลังจากที่เงินหมดไปหลายบาท
สัญชาติญาณความสามัคคีก่อนกำเนิด
เกิดเป็นเทคนิคใหม่ที่ค้นพบได้ด้วยตนเอง
จากการแข่งขัน การเป็นการร่วมมือกัน
ค้นพบว่าการช่วยกันยิงเป็นทีม
สนุกกว่าการยิงคนเดียว
กระสุน 15 นัด 20 บาทหรืออาจจะมากกว่า
กับสมาชิกในทีมประมาณ 4-5 คน
มิตรภาพก่อกำเนิดเมื่อเกิดความสามัคคี
การเล่นในรูปแบบที่ร่วมมือกันย่อมสร้างสรรความอัศจรรย์ได้เสมอ
เมื่อกระสุนทุกคนพร้อม สมาชิกในทีมจะเล็งเป้าหมาย
ไปที่ตุ้กตาตัวเดียวกัน
เมื่อได้สัญญาณ "ป้อก"
เสียงลูกยางจากปลายกระบอกปืนของคนแรก
พุ่่งเค้าไปชนตุ้กตาตัวหนึ่ง
ทำได้เพียงแค่ให้มันเขยื้อน แต่ยังไม่ล้ม
ฉับพลัน เสียง "ป้อก" ที่สองดังขึ้นอีก
สมาชิกในทีมอีกคนยิงซ้ำเข้าที่จุดเดิม
ตุ้กตาโดนจู่โจมสองครั้งติด ลองไปนอนนิ่งอยู่ที่พื้น
ก่อนเจ้าหน้าที่จะนำมาให้ใข้เป็นคะแนนต่อไป
ในหนึ่งชุดยิงประกอบด้วยผู้คนประมาณ 3-5 คน
หากคนหนึ่งสองพลาด ยังจะมีคนที่ สามสี่ห้า
คอยซ้ำตุ้กตาให้ล้มลง
แทบจะประสบความสำเร็จในทุกครั้งที่เล่น
เห็นได้จากจำนวนของรางวัลที่ได้รับกันทุกคน
หากวัดผลขอวรางวัลด้วยจำนวนเงินที่เสียไป
อาจจะไม่คุ้มค่าคุ้มราคาเท่าไรนัก
แต่หากวัดด้วยความอิ่มเอมใจและการได้ใช้เวลาเฮฮา
ทำกิจกรรมแปลกใหม่กับเพื่อนฟูง
นับได้ว่าเงินจำนวนที่เสียงไปคุ้มค่ามหาสารเลยก็ว่าได้
ในวันนี้ที่มีงานเลี้ยงปีใหม่ของกรม
เป็นปีที่ 3 ที่เราเข้าร่วมงานในที่แห่งนี้
เผลอเป็บเดียวเองจริงๆนะ...
เวลามักผ่านไปเร็วเสมอ แต่ทุกครั้งที่เจอเพื่อน
ราวกับเวลาถูกสตาฟเอาไว้
แต่ละคนแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย
นานๆจะเจอกันที
วันนี้แฮปปี้ๆ
ขอบคุณเพื่อนๆที่ยิงตุ้กตาให้ 

วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ที่อนุสาวรีย์ชัยในเวลาเกือบห้าทุ่ม

644353_3740472367907_324823897_n
ที่อนุสาวรีย์ชัยในเวลาเกือบห้าทุ่ม อากาศกำลังดี
ช่วงเวลาที่ชีวิตเลือนลอย ยังขี้เกียจกลับบ้าน
หากแต่อยู่ว่างๆก็ไม่รู้จะนั่งทำอะไร
ไปซื้อเบียรมาป๋อง นั่งมองผู้คนเดินไปมา
นั่งเป็นเพื่อนหมาที่นอนหมอบอยู่ตรงหน้าเรา
ราวกับผู้คนถูกเชิดด้วยเชือกที่มองไม่เห็น
ทุกคนพร้อมใจยืนเฉียงขวาหันหน้ามองไปไกลๆ
ไม่รู้ว่าสายตาโฟกัสที่ใหน
เชื่อว่าต่างคนต่างมีจุดหมายไม่เหมือนกัน
สีหน้าเลืื่อนลอยของคนที่กำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
ต่างปรากฏขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ
เขากำลังคิดถึงอะไร?
เตียงนอนนุ่มๆ อ้อมกอดอุ่นๆ
หรือต้องกลับไปวุ่นกับเรื่องราวที่ยังค้างคา
ในใบหน้าเมื่อยล้ายังมีสายตาที่จับจ้องมองอยู่
เมื่อรถซักคันแล่นมา ใบหน้าที่มองทางขวา
ค่อยๆเลื่อนมาตรงกลาง
เพิ่งพินิจรหัสรถสักครู่
หากเป็นสายที่ใช่ก็ก้าวขึ้นไป
หากไม่ใช่
ใบหน้าก็เลื่อนเฉียงขวากลับไปตำแหน่งเดิม
ในช่วงเวลาเดียวกัน
คนสิบคนอาจมีกิจกรรมอะไรบางอย่างต่างกัน
ช่วงเวลาที่ข้าพเจ้านั่งเงียบสงัดมองดูผู้คนอยู่นี้
อาจเป็นเวลาเดียวกับที่ผับแถวรัชดากำลังเปิดเพลงสนุกสนาน
อาจเป็นเวลาเดียวกันกับที่บางบ้านนั่งดูละครกันอย่างอบอุ่น
คิดว่าช่วงเวลามักผ่านไปเร็วเสมอ
นั่งพิมพนั่งมองไปมา ดูนาฬิกาอีกที่ เข็มยาวชี้เลข6แล้ว
ช่วงเวลากลับบ้านของข้าพเจ้าคงมาถึงแล้วสินะ...
ราตรีสวัสดิ์กรุงเทพ 

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

- เกาลัด -

1468581_3728937119533_565458383_n
- เกาลัด -
บ่ายโมงกว่าริมฟุตบาทย่านถนนเยาวราช
อากาศแสนสบายคล้ายมือนุ่มๆ
โบกสะบัดพัดร่างกายข้าพเจ้า
ให้ออกไปไกลๆจากกิจวัตประจำวัน
ข้าพเจ้ากับเยาวราชเติบโตมาพร้อมๆกัน
เมื่อยังเล็ก แม่มักจูงมาที่นี้บ่อยๆ
ค่อยๆดู ค่อยๆเรียนรู้ ค่อยๆจดจำร้านต่างๆ
ย่านนั้นขายอะไร ย่านนี้มีอะไรขาย
ราวกับแม่สัตว์ที่สอนวิธีหากินให้ลูกในอนาคต
จนถึงในวันนี้ วันที่ข้าพเจ้าสามารถมาทำธุระบางอย่างแทนได้แล้ว
เยาวราชยังคงเต็มไปด้วยผู้คนดั่งเช่นหลายๆครั้งที่มา
ในวันที่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเวลา
ข้าพเจ้าจึงค่อยๆพาสองขาเดินไปเดินมาได้อย่างไม่รีบร้อน
หากพูดถึงของฝากจากเยาวราช
นอกจากทองคำที่ราคาไม่แน่นอน
นอกจากหูฉลามน้ำแดงที่แลกมาด้วยหนึ่งชีวิต
นอกจากรังนกแท้ๆที่แม่นกสร้างไว้ให้ลูกอาศัย
คิดว่า "เกาลัค" น่าจะเป็นคำตอบอันดับต้นๆที่ผุดขึ้นมาในใจ
เกาลัดลูกอ้วนๆเปลือกแข็งๆข้างในเนื้อนุ่มหวาน
ที่ผ่านกระบวนการใส่ความร้อนจากเม็ดทรายสีดำในกระทะใบใหญ่
มีคนเคยบอกว่าหากทานตอนร้อนๆจะอร่อยเป็นพิเศษ
สิ่งหนึ่งที่ข้าพเห็นถึงการเปลี่ยนไปจากสมัยก่อน
ในตอนนี้มีเครื่องจักรเกาลัคที่สามารถหมุนวนได้โดยอัตโนมัติ
ภาพของลุงแก่ๆแต่แข็งแรง ใช้สองมือจับด้ามกวนอันใหญ่
กวนเกาลัคในกระทะใบใหญ่จึงมีให้เห็นน้อยลงไปเรื่อยๆ
เมื่อเครื่องจักรเข้ามาแทนที่ วิถีชีวิตก็เปลี่ยนไป
หายไปบ้างแต่ไม่หายสาปสูญ
ข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยลองเอามาเปรียบเทียบดู
ว่าระหว่างคนคั่วเองกับเครื่องจักรคั่วให้
อันใหนจะได้รถชาตที่ดีกว่ากัน
เชื่อว่าตัวแปลมันไม่น่าจะอยู่ที่เครื่องจักร
หากอยู่ในทุกๆกระบวนการของการทำ
คัดเมล็ด รอจังหวะไฟ ใส่เมล็ดลงไป จนถึงขั้นตอนที่นำใส่กล่อง
กระบวนการทั้งหมดมากกว่าที่จะเป็นตัวชีวัดว่าเกาลัคนั้นอร่อยถูกปากแค่ใหน
ในบางร้านที่เห็น มีบริการแคะเปลือกไว้ให้
เพียงคุณซื้อกลับไปสามารถเปิดซองใสแล้วนำใส่ปากได้เลย
ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่ามันน่าจะง่ายไปซักนิด
การกินเกาลัคจริงแล้วมันอาจจะเป็นการฝึกตัวเองอย่างหนึ่ง
ตั้งแต่ขั้นตอนการแกะ และหากเรานำลูกแรกใส่ปาก
ต้องใช้เวลาซักพักกว่าลูกต่อไปจะแกะสำเร็จ
นั้นทำให้เราไม่สามารถยัดเกาลัคที่ละ 10 ลูกพร้อมๆกันในปากได้
ทีละลูก ลูกละคำ น่าจะเป็นการกินเกาลัคที่อร่อยที่สุดแล้ว
แม้แต่ที่เยาวราชเอง
ข้าพเจ้ายังไม่เคยพบเจอผู้ใดแกะเกาลัคได้พร้อมกันทีละสองลูก
เนื้อหวานๆอาจจะมาจากความใส่ใจในทุกขั้นตอน
เปลือกที่แข็งกระด้างแต่สร้างความอ่อนนุ่มไว้ด้านใน
น่าจะเหมือนใจคนที่ต้องค้นแคะแกะเปลือกออก
ถึงเจอความหวานที่ซ่อนไว้
ส่วนจะน่าทานหรือไม่ เราน่าจะเป็นคนตัดสินใจเอง....
KhaikunG
17/12/56

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

" ยุคนี้สมัยนี้ไม่ขยันก็อดตายกันพอดีแหละพี่

1468531_3633049722408_537454868_n

" ยุคนี้สมัยนี้ไม่ขยันก็อดตายกันพอดีแหละพี่
ตัวผมเองอดยังไม่เท่าไร แต่ไอ้ลูกนี่สิ
มันต้องกินต้องใช้ จะไม่เลี้ยงก็ไม่ได้ มันลูกของเรา...
ตอนเช้าผมก็ขับรถส่งพวกหนังสือเอกสาร
ตกเย็นว่างๆก็มาขับวิน แต่ก่อนชีวิตแย่ไปหน่อย
ดีที่สำนึกได้ตอนยังไม่สาย มาตอนนี้จะทำอะไรไม่คิดไม่ได้ละ
เกิดไปทำอะไรไม่ดีแล้วดันโดนจับขึ้นมา
ก็กลัวว่าไอ้ลูกมันจะถูกเพื่อนล้อเอา
อะไรไม่ดีเลิกได้ก็เลิกๆไป
ทำงานสุจริตเนี่ยแหละพี่ สบายใจดี.."
.
.
.
วินมอไซต์ผู้ไม่เปิดเผยใบหน้าเอ่ยคำสนทนา
หลังจากที่ผมชมถึงความขยัน
แม้ในวันที่น่าจะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวอย่างวันลอยกระทง
เอาเข้าจริงแล้วชีวิตคนมันอาจไม่ได้มีเส้นทางให้เลือกมากนัก
บางสิ่งบางอย่างประสบการณ์ข้างทางจะเป็นตัวสอนเรา
หากชีวิตคือการเรียนรู้ ครูอาจจะมีปรากฏตัวอยู่ทุกที่
เช่นครั้งนี้อาจมาในรูปแบบวินมอไซค์
7กิโลบนถนนสายยาว จากจุดเริ่มต้นจนถึงปลายทาง
สองข้างถนนยังเต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างทำหน้าที่ของตนเอง
แทคซี่ก็ยังคงรับผู้โดยสาร พนักงานยังคงก้มหน้ากวาดขยะ
แม้สถานบันเทิงยังเปิดให้บริการตามเดิม
คนเราทุกคนล้วนมีหน้าที่
ทีแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา
สิ่งนั้นยังแสดงถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่
เสียงบิดรถมอไซค์ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ
เกจวัดความเร็วชี้อยู่ที่ประมาณ 80km/h
ไม่นานนักผมก็ถึงจุดหมาย
"โชคดีครับพี่ ให้ได้รูปสวยๆนะครับ"
คำพูดหลังจากจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อย
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำพูดนี้จากสายอาชีพขนส่งมวลชน
ผมยิ้มให้กับใบหน้าใต้หมวกกันน้อคที่ถูกแง้มออกมาเล็กน้อย
"ขอบคุณครับ โชคดีเช่นกัน "
ผมกล่าวเช่นนั้น
แล้วเราก็จากกันไปในเส้นทางของตัวเอง

"ไง ตัวเล็ก วันนี้ได้เยอะมะ?"

1458433_3629998846138_992139759_n

"ไง ตัวเล็ก วันนี้ได้เยอะมะ?"
ผมถามเด็กเก็บกระทงตัวเล็กริมขอบสระในขณะกำลังใช้ไม้เขี่ยกระทงให้เข้ามาไกล้
"โหพี่ เยอะดิ นี่ผมเก็บมาไม่ถึง 5 นาที ได้เกือบร้อยแล้ว...."
เด็กหนุมคนนั้นตอบมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แล้วลงมือเก็บเศษเงินในกระทงต่อไป
โดยไม่สนใจตัวผมที่กำลงถ่ายรูป
เป็นอีกครั้งที่เชื่อว่าเด็กมักทำอะไรอย่างบริสุทธ์ใจจริงๆ.....

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

- 10วันกว่า หน้าอนุสาวรีย์ ปาร์ตี้ที่ยังไม่มีวันเลิกรา -

- 10วันกว่า หน้าอนุสาวรีย์ ปาร์ตี้ที่ยังไม่มีวันเลิกรา -
" หากอยากจะรู้ถึงอะไรซักอย่าง
ถ้าไม่ลำบากมากเกิน
เราน่าจะลองเอาตัวเองเข้าไปในจุดนั้นๆ "
คำพูดชินหูที่ไม่รู้ว่าได้ยินมาจากที่ไหน
ส่งผลให้ในวันนี้ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ข้าพเจ้าแบกความสงสัยใส่สมองนำสองเท้าออกไปหาคำตอบ
ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจถึงร่างกฎหมายนิรโทษกรรม
ไม่สนว่าในอดีต ใครทำอะไรที่ไหน
ไอ้เรื่องแบบนั้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมีล้นทะลัก
จนแทบจะแยกข้อมูลจริงและเท็จจากกันไม่ออก
สิ่งที่สนใจคืออะไรที่ทำให้คนจำนวนมาก
ออกไปรวมตัวกันได้ขนาดนั้น? หากเป็นม้อบสั้นๆ
ไม่กี่วันอันนี้พอเข้าใจ แต่ในตอนนี้
ระยะเวลาผ่านสัปดาห์แรกจนใกล้สิ้นสุดสัปดาห์สอง
รอบอนุสาวรีย์ยังคงถูกจับจองไปด้วยฝูงคนจากทั่วทุกสารทิศ
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เหล่านั้นยึดติดกับสถานที่แห่งนี้
วินาทีแรกที่ไปถึง ทางเดินทอดยาวที่ข้าพเจ้าก้าวเข้าไป
ในสองข้างทางเต็มไปด้วยเต้นแจกอาหารบริการอยู่โดยรอบ
มั่นใจได้ว่าผู้มาร่วมการชุมนุมครั้งนี้ไม่มีอดตายแน่นอน
เต้นสีขาวฟ้าที่มีชื่อผู้สนับสนุนแปะหลาชัดเจน
ผู้คนเข้าแถวยาวเหยียดราวกับขอรับอาหารผู้ประสบภัย
ถ้าเหตุใดจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมาร่วมชุมนุมในครั้งนี้
อาหารฟรีคนเป็นสิ่งที่ทำให้คนสินใจได้ง่ายขึ้น
เดินไปจนสุดถึงตัวอนุสาวรีย์
ทีวีขนาดใหญ่ซูมไปที่ใบหน้าคนผู้ปราศรัยอยู่บนเวที
คำพูดดูทรงพลังเมื่อผ่านการคอนโทรจังหวะอย่างดีจากผู้ที่ควบคุมเครื่องเสียง
สำเนียงหนักเบาคละเคล้ากับเสียงนกหวีดที่ดังสนั่นไม่ขาดช่วง
หากใครง่วงก็นอนหลับลงไปใกล้กันนั้น
แม่ค้านกหวีดเดินกันขวักไขว่
อาชีพให้บริการเช่าเสื่อก็ดูเหมือนเป็นที่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน
ราวกับเราควรของที่ระลึกในการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้
เสื้อสีดำสลักคำเท่ห์ที่แสดงถึงจุดยืน ริสแบนเรารักประเทศไทย
ข้าวของเครื่องใช้ถูกวางเรียงไว้คล้ายๆที่นี้คือตลาดนัดคลองถมเฉพาะกิจ
ชีวิตผู้คนหลากอาชีพมารวมกันให้การชุมนุมเป็นไปอย่างเรียบร้อยที่สุด
จากความคิดเล็กๆ ในการชุมนุมที่เพิ่งจะลองไปเป็นผู้สังเกตการณ์
การกระทำนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจคาดเดาได้ว่าประเทศไทย มีอะไรบ้างที่สุญเสียไป
และสิ่งที่คาดว่าจะได้รับกลับมา มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันไหม
ถึงแม้ไม่รู้ว่าถ้าสำเร็จ หักต้นชนดอก แกนนำจะได้กำไรเท่าไรและคุ้มไหม
แต่ที่แน่ๆในวันนี้ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายไปยันวินมอไซค์ ต่างฟันกำไรกันโชะๆ
ไปก่อนหน้านั้นแล้ว
"ประวัติศาสตร์มันก็เดินไปตามรอยเดิมอยู่นั้นแหละ
ตราบใดที่ธรรมชาติคนเรายังไม่เปลี่ยน ไม่ว่ายุคสมัยใหน
ก็ยังมีคนที่กระหายอยากได้อำนาจ มีคนอยากปลกแอก
มีคนอยากเปลี่ยนแปลง อยากปฎิวัติอยู่ตลอดเวลา"
หนังสือชื่อ"ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน"ได้เขียนเอาไว้พอให้ไปขบคิด
เอาเข้าจริงการชุมนุมอาจจะเป็นเพียงกิจกรรมฆ่าเวลาสนุกๆของคนซักคน
หรืออาจจะเป็นปัญหาต้นๆของคนอีกคนหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหน ประชาธิปไตยในยุคโซเชียล
ทำให้เราได้เห็นว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน
เรามีเทคโนโลยีก้าวล้ำมากมายเพียงใด
ประชาธิปไตยของประเทศไทยก็ยังมีสภาพไม่ต่างไปจากหลายสิบปีก่อนเลย
"ดอกประชาธิปไตยเบ่งบานแล้วก็ร่วง
แล้วก็งอกผลิดอกบานใหม่ วนเวียนซ้ำไปมาอย่างนี้"
ไม่รู้ว่าเวทีนี้จะอยู่อีกนานแค่ไหน
และยังไม่รู้ว่าจุดจบของมันจะเป็นอย่างไร
สุดท้ายประชาธิปไตยก็เป็นสิ่งที่ไม่มีวันสมบูรณ์แบบได้เลย

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

"ต้นไม้" เส้นเลือดใหญ่ของธรรมชาติ

558905_3581426791867_922993144_n

"ต้นไม้" เส้นเลือดใหญ่ของธรรมชาติ
เลือดมีหน้าที่นำสารอาหารต่างๆไปยังร่างกาย
และเม็ดเลือดขาวยังคล้ายนักมวย
ที่คอยขึ้นสังเวียนชกกับเชื้อโรคบ่อยๆ
กิ่งไม้ก็คงคล้ายเส้นเลือด
มีสายใยออกซิเจนออกตามใบ
ไหลผ่านไปในอากาศ
เป็นอาหารจานฟรีให้กับสิ่งมีชีวิตต่างชนิดบนโลก
หากอริสโตเติลแบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็น2ชนิด
คือพืช และสัตว์ นั้นหมายความว่าต้นไม้
ก็ควรได้รับการคุ้มครองในฐานะสิ่งมีชีวิต
"ทรัพยากรบนโลกใบนี้มีเพียงพอสําหรับคนทุกคน
แต่มีไม่เพียงพอสําหรับคนโลภแม้เพียงคนเดียว"
สิ่งทีคานทีกล่าวไว้คงเป็นความจริง
ภาพต้นไม้จากวัดแห่งหนึ่งในอยุธยาที่ไปมาเมื่อไม่นาน
ก่อนที่วันนี้จะกลับมาสู่ป่าคอนกรีต
จ้องมองภาพที่ตอนถ่าย
ถ่ายไว้แบบไม่ได้คิดอะไรอยู่พักใหญ่
เราไม่เห็นต้นไม้ใหญ่ๆแบบนี้ในเมืองกรุงมานานแค่ใหนแล้
คำถามนี้อาจมีหลายคำตอบ
หนึ่งคือผมอาจชินชากับเส้นทางในแต่ละวันจนไม่ได้สังเกต
หรืออาจเป็นเพราะยุคสมัยนี้
ตึกสี่สิบห้าสิบชั้นมีค่าและดูสง่ามากกว่าร่มเงาต้นไม้
ไม่ว่าคำตอบจะออกมาเป็นแบบใหน
แต่สิ่งที่ตอบตัวเองได้อย่างหนึ่งในตอนนี้
เราอยู่ที่ที่ห่างไกลจากธรรมชาติเหลือเกิน...

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จริงๆแล้ว คนเราต่างกำลังเดินทางกันตลอดเวลารึเปล่า

จริงๆแล้ว
คนเราต่างกำลังเดินทางกันตลอดเวลารึเปล่า
จากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่ง
ท่องเที่ยว เดินทาง พจญภัย
ไม่ว่าใช้คำใหน สิ่งที่คล้ายกันคือมันต้องมีจุดเริ่มต้น
และจุดหมายปลายทาง
ศิลปินหลายคนชอบใช้คำว่า
"เพราะชีวิตคือการเดินทาง"
แต่ในหลายครั้ง
การสร้างสรรผลงานอาจจะทำอยู่ที่บ้านตัวเองอย่างเงียบๆ
รึจริงๆแล้วคำว่าการเดินทาง
อาจจะไม่ใช่การเดินเท้าเสมอไป
ไม่นานมานี้มีโอกาสได้ไปฟังวิถีกวีหนุ่ม
พี่เช ซะการีย์ยา อมตยา เจ้าของหนังสือ
"ไม่มีหญิงสาวในบทกวี" เจ้าของซีไรท์ปี 53
ได้พูดคร่าวๆเอาไว้ว่า แกเดินทางตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ
เดินทางออกไปประเทศนู้นประเทศนี้ เดินทางไปที่ต่างๆ
เดินทางไปนอกจักรวาล
แต่เป็นการเดินทางโดยผ่านตัวหนังสือ
โลกใบกว้างใหญ่เราไม่สามารถไปพบเจอได้ทุกอย่าง
เรื่องราวต่างๆบนโลกใบนี้
มันมากกว่าชีวิตน้อยนิดทีเรามี
สิ่งที่จะเติมเต็มการเดินทางในบางเวลาที่เรายังไม่พร้อม
หรือไม่มีโอกาสไปได้ คงไม่พ้นการอ่านหนังสือหรือดูสารคดี
รึบางทีสำหรับนักจิตวิทยาก็มีคำๆหนึ่งที่เรียกว่า
"การเดินทางเข้าไปในจิตใจตนเอง"
ฟังดูน่ากลัว แต่น่าค้นหา
เชื่อว่าหลายๆคน น่าจะมีช่วงเวลาซักช่วงหนึ่ง
การตัดสินใจเรื่องที่ทำได้ยากในบางสิ่ง
มีทางแยกซ้ายขวา ที่ไม่รู้ว่าจะพาไปโพล่ที่ไหน
สุดท้ายขึ้นอยู่ที่การตัดสิ่นใจจากสิ่งที่อยู่ข้างในใจ
เดินไปซักแยก หรือเดินถอยหลังกลับ
แม้กระทั้งทุกวัน
เรายังเดินทางไปสู่ความตาย
ดังนั้นในความหมายของคำว่า
"ชีวิตคือการเดินทาง"
ก็คงไม่ผิดนัก
แต่ก็ยังคงต้องเพิ่มเติมต่อไป
ว่าสุดท้ายแล้วการเดินทางในแต่ละครั้ง
ความสำเร็จหรือจุดหมาย
อาจไม่ยิ่งใหญ่เท่าเรื่องราวที่ได้พบเจอระหว่างทาง
เพราะโลกมันกว้าง
การเดินทางจึงสำคัญ 
- เดินทางโดยสวัสดิภาพ -

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จันทร์เช้าก่อนข้าวเที่ยง

จันทร์เช้าก่อนข้าวเที่ยง
ดูเหมือนว่าทุกสิ่งอย่างรอบตัวยังไม่พร้อมรับกับวันทำงาน
คอมพิวเตอร์ป่วยไข้ที่หลายๆหน่วยงานนำมาส่ง
ยังคงตั้งอยู่บนชั้นไม้สีน้ำตาลในห้องสี่เหลี่ยมเงียบสงัด
รอเวลาจะส่งผ่านไปยังมือช่าง
ประตูเลื่อนอลูมิเนียมปิดสนิท
แยกตัดความเป็นห้องจากโลกภายนอกอย่างชัดเจน
นานๆทีจึงจะมีคนมาเปิด เปิดเพื่อถามหาบางคน
เปิดเพื่อหาถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในนี้
แสงแดดที่พยยามส่องผ่านกระจกหน้าต่าง
ถูกขวางด้วยผ้าม่านเขียวอ่อน
หลอดไฟนีออนไม่กี่ดวงจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ห้องนี้ไม่มืดมากนัก
คอมพิวเตอร์ส่วนตัวในตอนนี้
มีหน้าที่เป็นเพียงกล่องดนตรีขนาดใหญ่
ใช้ขับกล่อมเสียงเพลงออกมาทางลำโพงสีดำตัวเล็กซ้ายขวา
นวนิยายของเศร้างเหงาของมูราคามิ
เข้ากันดีกับซาวน์ดนตรีบรรเลงจาก Djโอคาวาริ
แต่ละแทรกในอลบั้มไดโอรามาถูกเล่นผ่านไปอย่างเป็นลำดับ
เฉกเช่นเดียวกับนวนิยายที่ถูกเปิดไปทีละหน้า
จากหน้าแรก สู่หน้าสอง จากทำนองแรก สู่ทำนองถัดไป
กาแฟดำในแก้วสีขาวเย็นชืดลงตามอุณภูมิ22องศาในห้องทำงาน
แต่ละจิบถูกลิ้มรสผ่านทางปลายลิ้นไปสู่ลำคออย่างช้าๆ
ความขมในอดีตกลายเป็นความกลมกล่อมในปัจจุบัน
ไม่มีน้ำตาล ไม่มีนม ไม่มีครีมเทียม
นอกจากเสียงของทำนองเพลงที่บรรเลงเข้ากันกับเสียงหึ่งๆของแอร์
แทบไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลยในห้องนี้
หากนี้จะเรียกได้ว่าเป็นความสุนทรียะระดับปัจเจกก็คงจะเห็นเป็นเช่นนั้น
ไม่คิดจะตะเกียดตะกายเพื่อขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงกว่า
ใช้ชีวิตเรียบง่ายในความธรรมดาตามหน้าที่ที่เรามี
มีอิสระเสรีตามแบบที่เราเป็น~

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กระปุกออมฝัน

กระปุกออมฝัน
บ้านผมมีอาชีพค้าขาย เรียกง่ายก็คือโชว์สวย
ซึ่งเอาเข้าจริงผมชอบชื่อโชว์ห่วยมากกว่า
สินค้าที่นานๆที่จะมีคนมาซื้อ หนึ่งในนั้นคือ
"กระปุกออมสิน"
ทุกครั้งที่เห็นลูกค้าที่เข้ามาในร้าน
แล้วเจาะจงถามหากระปุกออมสิน
ผมมักได้กลิ่นของความฝัน ความหวัง
ผ่านทางสีหน้าและรอยยิ้มเล็กๆเสมอ
เชื่อว่าคนที่มาหากระปุกออมสิน
ต้องนำมันเอาไปใช้สะสมเงินเพื่ออะไรบางอย่าง
อาจจะเพื่อตัวเอง คนข้างๆ หรือมองทางไกลในอนาคต
หากไม่เริ่มหยอด กระปุกก็คงมีแต่ความว่างเปล่า
การใส่เงินลงไปก็คงเสมือนการต่อเติมความฝัน
จากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน
เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันตามที่เราหยอด
ในความจริงชีวิตของเราก็คงคล้ายกันกับออมสิน
วินาทีแรกที่เกิดมา เราเป็นกระปุกออมสินว่างเปล่า
นานวันเข้า เรื่องราวประสบการที่ได้รับ
ราวกับเหรียญที่ค่อยๆเติมเต็มกระปุกใบนี้
เป็นกระปุกออมสินมีชีวิตที่ไม่มีวันเต็ม
จนถึงคราวที่เราจำเป็นต้องนำเงินนั้นออกมาใช้
หาเรามีจำนวนเงินในกระปุกที่มากพอ
เราคงสามารถสานต่อความฝันนั้นๆของเราได้
เช่นเดียวกันกับชีวิตที่ไม่รู้จะเจออะไร
การเก็บสะสมเหรียญไว้ในกระปุกสามารถช่วยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
หน้าที่ของกระปุกออมสินอาจไม่มีอะไรไปกว่า
การเก็บรักษาเอาไวในที่เดียวกัน
แต่เรื่องราวหลังจากนั้น มันเป็นเรื่องของเรา
หากไม่เริ่มเก็บสะสมก็คงไม่ถึงฝัน
ประสบการณ์ในชีวิตเราก็เช่นกัน 

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

8บิท

1378752_3477195106140_709003088_n
8บิท
สมัยก่อนเป็นเด็กติดเกม
แม่บอกว่าสมัย 2 ขวบ พอเริ่มหยิบจับอะไรได้
ก็เริ่มกดเกมเทอทริส แบบที่ใส่ถ่าน AA สองก้อน
เล่นไม่เป็น ขอแค่ได้ฟังเสียงก็มีความสุ
จนมาถึงสมัยของฟามิคอม เกมตลับกับปุ่มกดที่มากขึ้น
น้ำลายหลายลูกบาศก์เมตร
ที่เสียไปในการเป่าเข้าช่องว่างของตลับเกม
เป็นน้ำมนต์จากคนธรรมดา ที่มีความเชื่อว่า
ถ้าเป่าก่อนใส่ตลับ จะทำให้เกมนั้นเปิดติดง่ายขึ้น
แล้วก็ติดง่ายขึ้นจริงๆครับ
เอาซะติดตนเล่นลืมวันลืมเวลาเลยทีเดียว
คอนทรา นินจาไกเด็ด มาริโอ้ เด็กกระโดดห่วงไฟ
เด็กชาวป่าวิ่งไล่โยนค้อนขี่เสก็ต
กังฟู สตรีทไฟวเตอร์ บอมเบอร์แมน
อีกหลายต่อหลายเกมที่ช่วยเติมเต็มวัยเด็กให้มีสีสัน
ช่วยทำให้วันเวลาผ่านไปอย่างมีความสุข
(แม้ทุกข์บ้างตอนเล่นไม่ผ่านก็ตาม)
มนต์เสนห์ในตัวละครเหลี่ยมๆ ที่ไม่เน้นกราฟฟิกสวยงาม
ความยากง่ายในด่านที่กว่าจะผ่านนี่แทบคลั้ง
ในสมัยที่เกมยังไม่มีเซฟ
ทุกครั้งที่เปิดเครื่องใหม่กับเกมเดิม
เราต้องเจอกับตัวละครหน้าซ้ำๆตลอด
นานๆไปถึงบอสซักที และไม่ใช่ทุกครั้งที่ปราบได้สำเร็จ
ยุคสมัยที่อินเตอร์เนตไม่แพร่หลาย
ไม่มีบทสรุปตายตัว อาศัยความมั่วในการคลำทาง
จนมาถึงปัจจุบัน แม้ว่าฟามิคอมจะได้รับความนิยมน้อยลงไป
แต่มันก็ไม่หายไปใหน ตัวเครื่องอาจจะถูกแปลงไปกลายเป็นโปรแกรมหนึ่ง
ซึ่งสามารถเล่นในคอมพิวเตอร์ได้
ตลับเกมอันใหญ่ถูกลดย่อไว้เหลือเพียงไม่กี่เมกกะไบท์ในฮาดดิส
เกมหนึ่งถูกพิชิตได้โดยง่ายดาย โดยอาศัยเทคนิคต่างๆ
ที่เกมเมอร์ทั้งหลายโพสไว้ในอินเตอร์เนต
โลกอาร์เขตกลายเป็นกลายเป็นอดีตสำหรับคนกลุ่มเล็กๆ
แม้วันนี้เครื่องฟามิคอมของผมจะหมดอายุขัยไปแล้ว
ตลับเกมต่างๆ ก็หายไปจากการไม่ดูแลรักษา
เกมปวดสมองใหม่ๆที่มีมาให้เล่นไม่หวัดไม่ไหว
เวลาพัดพาอะไรใหม่ๆเข้ามาให้ชีวิตได้ทดลอง
แฟมิคอมจึงกลายเป็นอดีต
เป็นอดีตที่ไม่มีวันหายไปจากความทรงจำ

ทำไมเมาคลีต้องฆ่าแชรคาน?

ทำไมเมาคลีต้องฆ่าแชรคาน?
เมาคลีเป็นเด็กที่ถูกลืมทิ้งไว้ในป่า
และกำลังจะโดนแชรคานทำร้าย
แต่ได้รับความช่วยเหลือจาก อาคีล่า
จนได้เป็นครอบครัวของหมาป่าและสัตว์ป่า
ผ่านไปๆ อาคีล่าแก่ลง
แชร์คานหัวสมัยใหม่ ปลุกปั่นวัยรุ่นให้เลิกนับถืออาคีล่า จนไล่เมาคลีออกจากเผ่า
จนวันหนึ่งอาคีล่าแก่ตัวลง
เมาคลีก็ร่วมมือกับอาคีล่า
ชิงฆ่าแชรคานก่อนจะถูกฝ่ายนั้นเล่นเอา
แถมยังไม่ได้เป็นการฆ่าด้วยน้ำมือตัวเอง
เป็นการยืมเท้าสัตว์ชนิดอื่นมาฆ่า
ก่อนจะถลกหนังออกมาประจาน...
และเป็นการกระทำที่ได้รับการสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง
จริงเรื่องราวฝนวัยเด็กควรจะจบลงแค่นั้น
แต่ไม่นานมานี้ หลังจากผ่านวันที่6ตุลา
มีเพจบางเพจหยิบเรื่องนี้มาคุยอีกครั้ง
เลยเกิดคำถามชวนสงสัยว่า
จริงๆแล้ว การที่เมาคลีฆ่าแชร์คาน
ถือเป็นการ ทำดี เหมือนคำที่ตะโกนร้องบอก
"จงทำดี จงทำดี"
มันดีจริงๆรึเปล่า
เอาเข้าจริงแล้วการฆ่าสิ่งมีชีวิตซักชนิด
ผมมองว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องดีเท่าไร
หรือการตั้งตนเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม
ฆ่า อธรรม เพื่อเชิดชูคุณธรรม
เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในเวลานั้น
ทั้งแชร์คานและเมาลีอาจจะมีเหตุผลของตัวเอง
แต่ในเรื่องทั้งล้อไม่คุยปรับความเข้าใจกัน
เชื่อว่าทั้งเมาคลีและแช่ร์คาน
ถ้าคุยกันอาจจะเข้าใจกัน
โศกนาฏกรรมคงไม่เกิด
พอได้มองอะไรหลายๆมุม
เราก็ได้เห็นอีกด้านของเหรียญ
ด้านที่โรงเรียนไม่เคยสอนในกิจกรรมลูกเสือ
ได้ทำให้รู้ว่าวัยเด็กของเรา ถูกปลูกฝังอะไรมามากแค่ใหน
และอะไรคือสิ่งที่เราควรเลือกจะเชื่อ
มันอาจไม่มีถูกผิด
อยู่ที่ความคิดของตัวเราทั้งนั้น
แต่จะดีกว่ามั้ย ถ้าเรายอมรับฟังความคิด
ของคนที่เห็นต่าง และมองโลกแบบกว้างๆ
ขอบคุณเฟสบุคและคอมเม้นที่หลากหลาย ที่ทำให้เห็นอะไรกว้างขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อ้างว้าง~

1011770_3470699263748_1738086124_n
อ้างว้าง~

หลังจากที่สอบเสร็จไม่นาน
เหมือนมีแรงขับภายในอะไรซักอย่างมาดลใจ
ให้ขึ้นไปในสถานที่ที่ไม่เคยไป
บนตึก15ชั้นที่16 ชั้นด่านฟ้า
ลมบนโกรกมาตีหน้า
ในความอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว
สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในสถานที่แห่งนี้คือข้าพเจ้า
มองออกไป
ในท้องฟ้าที่ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ตรงใหน
ไม่ไกลนัก มีเก้าอี้หนึ่งตัวตั้งอยู่
เก้าอี้ไร้เจ้าของ
อนุสรณ์สถานแห่งกาลเวลา
ช่วงขาทั้งสีที่ถูกสนิมเกาะ
ความเปราะบางของมันที่สังเกตุเห็นได้ด้วยตา
เหงา
ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เอ่อขึ้นมาจากตัวข้าพเจ้า
หรือว่าเก้าอี้นี้เป็นตัวสื่อ
ยิงตรงความรู้สึกนั้นเข้าสู่ประสาทรับรู้ของข้าพเจ้าโดยตรง
หากมันมีความรู้สึก
ลึกๆมันคงไม่ต่างจากข้าพเจ้าเท่าไรนัก
อ้างว้างท่ามกลางเมืองใหญ่
วันๆนึงเจอผู้คนมากมายแต่แทบไม่รู้จักใครเลย
โมงยามผ่านไปอย่างไม่รู้สึก
จิตสำนึกกระตุกว่าน่าจะได้เวลาไปจากสถานที่แห่งนี้แล้ว
สายลมบนด่านฟ้ายังคงพัดมาแผ่วๆ
ข้าพเจ้าหันไปมองเก้าอี้ครั้งสุดท้าย
หยิบกล้องขึ้นมาถ่าย
ก่อนที่จะเดินจากไปและปล่อยมันเอาไว้อยู่ที่เดิม...

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"อะไรเล่าจะน่าสะพรึงไปกว่าจิตใจที่จ้องลึกลงไปในตัวของมันเอง"

1375750_3468546249924_1361296423_n
ในที่สุดก็ หลังจากที่เจียดเวลามาใส่ใจกันมันอยู่นาน
ผ่านไป 3 วัน ก็อ่านนวนิยายเล่มนี้จบลง
"อะไรเล่าจะน่าสะพรึงไปกว่าจิตใจที่จ้องลึกลงไปในตัวของมันเอง"
ผมสะดุดใจกับคำเปรยนี้บนหน้าปก
ในฐานะนักศึกษาจิตวิทยา คำว่า จิตใจ
เหมือนเป็นสิ่งดึงดูดให้ตัวผมเข้าไปหา
แล้วก็ไม่ผิดหวังมากนักกับช่วงแรกจนถึงกลางๆ
นวนิยายที่ใช้ตัวละครเพียงไม่กี่คน แต่สิ่งที่มากกว่า
คือดูเหมือนว่าตัวละครแต่ละคนจะมีปมปัญหาในใจที่ต่างกันออกไป
ในสังคมเมืองทุกวันเราก็ต่างเป็นแบบนั้น
โดยส่วนตัวผมค่อนข้างอินกับตัวเอกที่ดูเหมือนจะเป็นตัวแทน
ของความเฟอแฟคในชีวิต แต่กระนั้น
ความสงสัยความอยากรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุดของมนุษย์
กลับถลำลึกให้กระทำสิ่งใหม่ๆได้เสมอ
ครั้งหนึ่งผมเองก็เคยมีความคิดเหมือนในนวนิยายเรื่องนี้
อยากจะลองเลี้ยง "คน" ในฐานะของสัตว์เลี้ยง
เพราะผมคิดว่าด้วยสติปัญญาของคน
คงมีอะไรที่น่าอภิรมไปกว่าการเลี้ยงหมาแมว
แต่ด้วยกรอบของศีลธรรมทำให้ไม่สามารถกระทำแบบนั้นได้
หนังสือที่ลงลึกถึงจิตใจของคน
ผลของการกระทำที่สุดท้ายแล้วตนเองกลับเป็นฝ่ายถูกกระทำ
โรคจิต วิปริต สองคำนี้เราคงไม่สามารถไปตรีตราว่าใครคนนั้นได้
หากไม่มีคำยืนยันจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญพอ
ครึ่งหนึ่งครูในสาขาเคยบอกว่า
"หากว่าคนเรามีความสุขกับการกระทำอะไรบางอย่าง
เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเสนอตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงเขา
ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่ถูกต้องก็ตาม"
ผมเชื่อว่าจิตวิทยาไม่ใช้ศาษตร์
ที่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจคนได้ตลอดไป
เราทำได้เพียงรับรู้และคาดเดา
แค่รับรู้ เพียงเท่านั้น
เรื่องของจิตใจเป็นเรื่องที่หยั่งลึกลงไปกว่าใครจะหยั้งถึงได้อย่างสมบูรณ์
ป.ล.สำหรับนวนิยายเรื่องนี้
ไม่ค่อยประทับใจกับช่วงหลังๆและตอนจบเท่าไรนัก 

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

- เซียนพระรุ่นใหญ่ กับทางรถไฟสายประจำ -

1234175_3412192081105_310986966_n

เซียนพระแต่ละคน ไม่ว่าจะมีพระเครื่องในครอบครองมาเท่าใด
ก็จะมีแค่ไม่กี่องค์ ที่จะนำมาห้อยติดตัวไปด้วยความอุ่นใจ
พี่คนนี้เช่นเดียวกัน แกเล่าให้ฟังว่า กว่า 10 ปี
ที่ทำมาหากินกับวัตถุมงคล "เซียนพระ"
คือคำการันตรีถึงความคล่องแคล่วของอาชีพ
แกเล่าให้ฟังว่า บ่อยครั้ง ที่แกจะนั่งรถไฟไปกลับ
จากกรุงเทพ - สุรินทร์ เพิ่อมาคัดเลือกพระไปปล่อยต่อ
จากองค์ละ 50 บาท ถ้าเลือกดีๆหน่อย ตอนปล่อยเช่าก็จะได้กำไรดี
นอกจากนี้แกยังอวดถึงสรรพคุณสายตาตัวเองด้วยความภูมิใจ
" นี่ถ้าผมจะเดินเข้าไปไกล้ๆร้านใหน ถ้าร้านนั้นมีลูกค้า
เค้าจะยังไม่ให้ผมเข้าไปเลือกเลยนะ เค้ากลัวว่าถ้าผมจับองค์ใหนแล้วไม่เอา
ลูกค้าคนอื่นก็จะไม่เอา เพราะรู้ว่าองค์นั้นคือของปลอม "
คำสนทนายังคงมีเรื่อยๆ
ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเล่าของตัวลุงแกเองมากกว่า
เบื้องหลังอาชีพที่ต้องอาศัยดวงในการเลือก
และอาศัยความเชื่อความศรัธาของผู้คนเป็นแรงเสริม
มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่สามารถเข้าใจ
พระหลายรุ่นที่เรามองๆ ก็คล้ายๆกันหมด
ไม่รู้ว่าเขาสามารถแยกแยะได้อย่างไร
แทบทุกครั้งที่ได้ฟังเรื่องราวใหม่ๆ
กลับยิ่งรู้สึกว่าโลกเราใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ต่อจากนี้ไม่รู้จะมีเรื่องราวอะไรรออยู่
แต่สองหูของผมทุกครั้งก็ยังคงสนุกที่ได้รับฟัง

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

- หนึ่งวันธรรมดาที่ไม่มีเครื่องบอกเวลาอยู่กับตัว -

- หนึ่งวันธรรมดาที่ไม่มีเครื่องบอกเวลาอยู่กับตัว -
ในช่วงบ่ายวันนี้หลังจากที่ตรวจสอบเวลาภาพยนต์ที่ต้องการไปชมเรียบร้อย
ผมค่อยๆยัดข้าวของที่มักจะเอาติดตัวไปเสมอๆใส่กระเป๋าใบเล็ก
สมุด ปากกา หนังสืออ่านเล่น หูฟัง และกระเป๋าสตางค์สีดำ
เป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลาฉาย
และด้วยความที่กลัวจะไปไม่ทัน (ทั้งๆที่ก็รู้ว่าจะมีโฆษนาอีกชั่วโมงกว่า)
ผมรีบออกจากบ้านโดยไม่ได้ตรวจสอบความเรียบร้อย
จนเมื่อถึงป้ายรถเมล์ เวลาไม่นานรถสายที่ต้องการมาถึงพอดี
ผมรีบปรี่ขึ้นรถจนได้ที่นั่ง ที่เหลือก็รอให้รถพาไปถึงจุดหมาย
ผมเปิดกระเป๋า จะหาโทรศัพมาอัพสเตตัสและดูความเคลื่อนไหวของโลกอีกใบหนึ่ง
รวมถึงต้องการเวลากว่าที่รถจะไปถึง
กระเป๋าใบเล็กๆชนาดใส่สมุดซัก 3-4 เล่มก็เติมแล้ว
สองมือคุ้ยหาซ้ายขาว พยยามค้นตรงซอกต่างๆ
ไม่มีโทรศัพอยู่ในนั้น
เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าครั้งสุดท้ายที่หยิบคือตอนดึงออกมาจากแท่นชาต
กะว่าจะคว้าออกไปในขณะออกจากบ้าน แตแล้วก็ลืม
ครั้นจะย้อนกลับไปเอา ก็กลัวว่าเราจะไปไม่ทันหนังฉาย
ชั่วขณะนั้นเกิดความรู้สึกแปลกๆ
เพราะปรกติระหว่างเดินทาง
ผมมักเอาหูฟังมากั่นกลางระหว่างโลกความเป็นจริงกับโลกแห่งเสียงดนตรี
แต่เวลานี้ เมื่อไม่มีหูฟัง เสียงรอบข้างกลับชัดเจนขึ้น
เสียงเครื่องยนต์ เสียงรถ เสียงของคนพ่นด่ากากาศที่ร้อนอบอ้าว
เสียงหนุ่มสาวพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ที่นั่งข้างๆ
และมีบ้างที่ได้ยินเสียงธรรมชาติอันแผ่วเบา
จนไกล้ถึงโรงหนัง ผมต้องการรู้เวลา เผื่อที่ว่าจะได้คำนวนความเร็ว
ในการเดินทางจากป้ายรถเมร์ให้ถึงห้องขายตั๋ว
หากเวลาเหลือเยอะ ก็จะได้เดินไปอย่างช้าๆ
แต่ว่าตอนนี้
ที่ตัวไม่มีอุปกรณ์ชิ้นใดเลยที่สามารถบอกเวลาได้
ผมจึงไม่รู้เวลา แต่คาดการได้ว่าน่าจะถึงเวลาฉายแล้ว
ผมจึงเดินสาวเท้ายาวๆ จนถึงในโรง
ผมซื้อตั๋วเรียบร้อย พบว่าเวลาเพิ่งผ่านไป 5 นาที
จากเวลาที่หนังฉาย หาก บวกเวลาครึ่งชั่วโมงในช่วงโฆษนา
เท่ากับว่าผมมีเวลา25นาทีก่อนที่จะยืนสรรเสริญพระบารมี
ในตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร
ทั้งที่ในปรกติก่อนหนังจะฉาย เป็นนิสัยที่จะปฎิบัติกิจอย่างหนึ่ง
นั่งคือการถ่ายรูปลงโซเชียล....
แต่ในวันที่ไม่มีมือถือ ความคิดนั้นคงไม่มีวันเป็นจริงได้
ครั้นจะไปยืมเครื่องคนอื่มมาถ่าย ก็จะกลายเป็นคนหน้าหนาเกินไปเล็กน้อย(จริงๆแล้วคงไม่น้อย)
ผมนั่งทำปากห้อยอยู่ครู่หนึ่งชักเซ็ง
จึงตัดสินใจ เข้าโรงไปดูโฆษนาก็ได้
จนถึงเวลาฉาย และจนหนังจบ
ผมเดินออกมาโดยไม่รู้เวลาในตอนนั้น
น่าแปลกในโรงหนัง นอกจากบริเวณจุดจำหน่ายตั๋วแล้ว
ผมกลับพบว่าตามร้านค้าร้านอาหาร กลับไม่มีนาฬิกาที่สามารถบอกเวลาให้ลูกค้ารู้ตั้งอยู่เลย
ราวกับห้างไม่ต้องการให้เรารู้เวลา (หรือว่าสายตาผมสังเกตุไม่ทั่ว?)
ครั้นจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาคนทางบ้านว่าต้องการอะไรรึเปล่า
ก็ไม่สามารถทำได้อย่างสะดวก
"ตู้โทรศัพท์" จึงเป็นอีกหนึ่งความคิดที่พฃผุกดขึ้นมาเวลานั้น
แต่ห้างใหญ่ในยุคปัจจุบัน จะหาตู้โทรศัพย์กลับเป็นเรื่องลึกลับ
หน้าห้องน้ำคือสถานที่เดียวที่นึกถึง แล้วก็คิดถูก
แต่ว่าตู้โทศศัพประมาณ 8 ตู้ที่เรียงรายอยู่หน้าห้องน้ำ
ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้ทุกตู้ ในจำนวนนั้น
เท่าที่ผมลองดู มีประมาณ 2 ตู้ที่ใช้ได้ นอกนั้นมีไว้แค่ประดับ
ผิดกับตู้ชาตโทรศัพที่มีคนใช้บริการมากกว่า
ผมรู้จากแม่ว่าตอนนั้นเป็นเวลา 4 โมงครึ่ง ยังไม่เย็นมาก
เลยยังไม่อยากรีบกลับ
ร้านกาแฟ จึงกลายเป็นจุดหมายที่เอาไว้ฆ่าเวลาในรูปแบบสามัญของผม
ที่แมคค่าเฟ่ กาแฟดำแก้วหนึ่งถูกเสริฟตรงหน้า
ในขณะที่เวลาเท่าไรไม่รู้ ยังดีที่ผมติดหนังสืออ่านเล่นมาเล่มหนึ่ง
ไม่อย่างนั้นชีวิตคงหงอยเหงาเป็นแน่
แต่พอไม่มีสมาถโฟนให้ก้มหน้ากด
กลายเป็นว่าผมจึสามารถเงยหน้ามองบรรยากาศรอบข้างได้อย่างละเมียดละไมขึ้น
ผมกลับพบว่าหลายคนมาในที่สาธารณะ เพื่อใช้เวลาส่วนตัว
ครู่หนึ่งผมจึงปิดหนังสือ แล้วหยิบสมุดบันทึกขึ้นมา
ทั่งๆที่ผมมักจะชอบพิมพ์ไปเลยมากกว่า จนได้มาเป็นบันทึกตอนนี้
คือเหตุการจากการลืมของตัวเอง
สิ่งแรกที่ได้รู้คือผมเสพติดเทคโนโลยีในระดับหนึ่ง
ซึ่งเอาเข้าจริง ถ้าในตอนนี้ให้ผมกลับไปใช้เครื่อวขาวดำไร้ฟังก์ชั้น
ผมก็คงต้องปรับตัวอีกเยอะพอสมควร หรืออาจจะยอมแพ้ไปเลยก็ได้
ส่วนอีกอย่างหนึ่ง ผมได้รู้ว่า เวลา มีอิธธิพลกับชีวิตเราขนาดใหน
แต่ในเวลาเดียวกัน การที่เราไม่ผูกติดกับเวลาและการไม่มีแบบแผน
มันก็ทำให้เราได้ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องกังวลเวลา
อ่านหนังสือได้นานตามใจปารถนา สอดส่ายสายตาได้อย่างที่ใจต้องการ
จนเมื่อดวงอาทิตย์ดับลง ผมจึงรู้ตัวว่า นาฬิกาธรรมชาติได้ส่งเสียงเตือน
ถึงวลากลับสู่เคหะสถานได้แล้ว
และต่อไปผมคงขี้ลืมน้อยลง 

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ในร้านกาแฟ

ในร้านกาแฟ

นานๆที่จะมีโอกาสได้นั่งอยู่แถวประตูทางเข้าออก
น้อยมากที่ผมจะเลือกนั่งบริเวณนี้
แต่เนื่องจากวันนี้ฝนตก ลูกค้าในร้านเลยเยอะเป็นพิเศษ
วันนี้ผมจึงมีโอกาสสังเกตุผู้คนที่ผ่านไปมา
เพราะความที่มีคนเดินเข้าออกเรื่อยๆ
ผมคงไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าเท่าใดนัก =_="
ร้านกาแฟขนาดไม่ใหญ่นักแต่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี
แค่นั้นก็ดึงดูดลูกค้าทั้งขาจรและประจำได้พอสมควร
บางคนอาจเข้ามาแค่ซื้อเครื่องดื่ม
หรืออาจเป็นหมู่คณะ เพื่อพบปะสังสรรค์กัน
พี่อ๋อง วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ
เคยกล่าวในหนังสือ "สุนทรียะแห่งความเหงา"
เอาไว้ประมาณว่า
"ร้านกาแฟเปรียบเสมือนสลัมสำหรับชนชั้นกลาง"
ผมเองก็คงจะเห็นจริงตามนั้น
ทุกคนพร้อมใจกันซื้อกาแฟราคาสูงกว่าร้านข้างทาง
พร้อมกับการเช่าที่นั้งเล็กๆ สำหรับพักกายใจหรือทำธุระชั่วขณะ
ชีวิตผู้คนในนี้จึงดูเหมือนว่ากำลังดำเนินไปอย่างเนิบช้า
เป็นช่วงเวลาที่ไม่วุ่นวายในสังคมเมือง
ผมเองมักจะมานั่งอ่านหนังสือในร้านกาแฟบ่อยๆ
จนพักหลัง แทบไม่ต้องสั่ง
เพียงสบตากับพนักงาน เป็นอันเข้าใจ
ไม่นานกาแฟดำแก้วหนึ่งก็ถูกเสริฟ
อย่างที่บอก ว่าวันนี้ร้านกาแฟคนเยอะเป็นพิเศษ
ผมจึงได้สังเกตุพฤติกรรมของคนหลายประเภทดี
คนที่มาเป็นหมู่คณะ ก็จะสนทนาเฮฮา
โดยไม่สนใจว่าลุงที่อ่านหนังสืออยู่ไม่ห่าง
จะชำเลืองมองบ่อยครั้งแค่ใหน
หรือในคณะที่บ้างคนเข้ามาเพื่อหาปลั้กไฟ
เพื่อเติมพลังให้gadgetต่างๆของตนเอง
และในมือก็ก้มหน้าก้มตาใช้เวลาไปกับอุปกรสี่เหลี่ยม
และก็มีประเภทที่เข้ามาพร้อมกับเอกสารกองหนึ่ง
ซึ่งผมเรียกพวกนี้ว่าพวกทำotนอกเวลาot.
บางที การนั่งเฉยๆ สังเกตุผู้คนไปเรื่อยๆ
(อันนี้ถ้าเป็นสาวน่ารักๆ ก็มักจะสังเกตนานหน่อย  )
มันก็เป็นความสุนทรียได้ในรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน
วันนี้และวันข้างหน้า ผมก็ยังคงต้องแวะมาใช้บริการ
ร้านกาแฟนี้อยุ่อีกเรื่อยๆ
อย่างน้อยก็จนกว่าผมจะออกจากมหาลัย
หรือไม่ก็โดนคนที่ผมนั่งสังเกตุต่อยเอาเสียก่อน
- แด่ความสุนทรียะในร้านกาแฟ -