วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

- หนึ่งวันธรรมดาที่ไม่มีเครื่องบอกเวลาอยู่กับตัว -

- หนึ่งวันธรรมดาที่ไม่มีเครื่องบอกเวลาอยู่กับตัว -
ในช่วงบ่ายวันนี้หลังจากที่ตรวจสอบเวลาภาพยนต์ที่ต้องการไปชมเรียบร้อย
ผมค่อยๆยัดข้าวของที่มักจะเอาติดตัวไปเสมอๆใส่กระเป๋าใบเล็ก
สมุด ปากกา หนังสืออ่านเล่น หูฟัง และกระเป๋าสตางค์สีดำ
เป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลาฉาย
และด้วยความที่กลัวจะไปไม่ทัน (ทั้งๆที่ก็รู้ว่าจะมีโฆษนาอีกชั่วโมงกว่า)
ผมรีบออกจากบ้านโดยไม่ได้ตรวจสอบความเรียบร้อย
จนเมื่อถึงป้ายรถเมล์ เวลาไม่นานรถสายที่ต้องการมาถึงพอดี
ผมรีบปรี่ขึ้นรถจนได้ที่นั่ง ที่เหลือก็รอให้รถพาไปถึงจุดหมาย
ผมเปิดกระเป๋า จะหาโทรศัพมาอัพสเตตัสและดูความเคลื่อนไหวของโลกอีกใบหนึ่ง
รวมถึงต้องการเวลากว่าที่รถจะไปถึง
กระเป๋าใบเล็กๆชนาดใส่สมุดซัก 3-4 เล่มก็เติมแล้ว
สองมือคุ้ยหาซ้ายขาว พยยามค้นตรงซอกต่างๆ
ไม่มีโทรศัพอยู่ในนั้น
เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าครั้งสุดท้ายที่หยิบคือตอนดึงออกมาจากแท่นชาต
กะว่าจะคว้าออกไปในขณะออกจากบ้าน แตแล้วก็ลืม
ครั้นจะย้อนกลับไปเอา ก็กลัวว่าเราจะไปไม่ทันหนังฉาย
ชั่วขณะนั้นเกิดความรู้สึกแปลกๆ
เพราะปรกติระหว่างเดินทาง
ผมมักเอาหูฟังมากั่นกลางระหว่างโลกความเป็นจริงกับโลกแห่งเสียงดนตรี
แต่เวลานี้ เมื่อไม่มีหูฟัง เสียงรอบข้างกลับชัดเจนขึ้น
เสียงเครื่องยนต์ เสียงรถ เสียงของคนพ่นด่ากากาศที่ร้อนอบอ้าว
เสียงหนุ่มสาวพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ที่นั่งข้างๆ
และมีบ้างที่ได้ยินเสียงธรรมชาติอันแผ่วเบา
จนไกล้ถึงโรงหนัง ผมต้องการรู้เวลา เผื่อที่ว่าจะได้คำนวนความเร็ว
ในการเดินทางจากป้ายรถเมร์ให้ถึงห้องขายตั๋ว
หากเวลาเหลือเยอะ ก็จะได้เดินไปอย่างช้าๆ
แต่ว่าตอนนี้
ที่ตัวไม่มีอุปกรณ์ชิ้นใดเลยที่สามารถบอกเวลาได้
ผมจึงไม่รู้เวลา แต่คาดการได้ว่าน่าจะถึงเวลาฉายแล้ว
ผมจึงเดินสาวเท้ายาวๆ จนถึงในโรง
ผมซื้อตั๋วเรียบร้อย พบว่าเวลาเพิ่งผ่านไป 5 นาที
จากเวลาที่หนังฉาย หาก บวกเวลาครึ่งชั่วโมงในช่วงโฆษนา
เท่ากับว่าผมมีเวลา25นาทีก่อนที่จะยืนสรรเสริญพระบารมี
ในตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร
ทั้งที่ในปรกติก่อนหนังจะฉาย เป็นนิสัยที่จะปฎิบัติกิจอย่างหนึ่ง
นั่งคือการถ่ายรูปลงโซเชียล....
แต่ในวันที่ไม่มีมือถือ ความคิดนั้นคงไม่มีวันเป็นจริงได้
ครั้นจะไปยืมเครื่องคนอื่มมาถ่าย ก็จะกลายเป็นคนหน้าหนาเกินไปเล็กน้อย(จริงๆแล้วคงไม่น้อย)
ผมนั่งทำปากห้อยอยู่ครู่หนึ่งชักเซ็ง
จึงตัดสินใจ เข้าโรงไปดูโฆษนาก็ได้
จนถึงเวลาฉาย และจนหนังจบ
ผมเดินออกมาโดยไม่รู้เวลาในตอนนั้น
น่าแปลกในโรงหนัง นอกจากบริเวณจุดจำหน่ายตั๋วแล้ว
ผมกลับพบว่าตามร้านค้าร้านอาหาร กลับไม่มีนาฬิกาที่สามารถบอกเวลาให้ลูกค้ารู้ตั้งอยู่เลย
ราวกับห้างไม่ต้องการให้เรารู้เวลา (หรือว่าสายตาผมสังเกตุไม่ทั่ว?)
ครั้นจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาคนทางบ้านว่าต้องการอะไรรึเปล่า
ก็ไม่สามารถทำได้อย่างสะดวก
"ตู้โทรศัพท์" จึงเป็นอีกหนึ่งความคิดที่พฃผุกดขึ้นมาเวลานั้น
แต่ห้างใหญ่ในยุคปัจจุบัน จะหาตู้โทรศัพย์กลับเป็นเรื่องลึกลับ
หน้าห้องน้ำคือสถานที่เดียวที่นึกถึง แล้วก็คิดถูก
แต่ว่าตู้โทศศัพประมาณ 8 ตู้ที่เรียงรายอยู่หน้าห้องน้ำ
ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้ทุกตู้ ในจำนวนนั้น
เท่าที่ผมลองดู มีประมาณ 2 ตู้ที่ใช้ได้ นอกนั้นมีไว้แค่ประดับ
ผิดกับตู้ชาตโทรศัพที่มีคนใช้บริการมากกว่า
ผมรู้จากแม่ว่าตอนนั้นเป็นเวลา 4 โมงครึ่ง ยังไม่เย็นมาก
เลยยังไม่อยากรีบกลับ
ร้านกาแฟ จึงกลายเป็นจุดหมายที่เอาไว้ฆ่าเวลาในรูปแบบสามัญของผม
ที่แมคค่าเฟ่ กาแฟดำแก้วหนึ่งถูกเสริฟตรงหน้า
ในขณะที่เวลาเท่าไรไม่รู้ ยังดีที่ผมติดหนังสืออ่านเล่นมาเล่มหนึ่ง
ไม่อย่างนั้นชีวิตคงหงอยเหงาเป็นแน่
แต่พอไม่มีสมาถโฟนให้ก้มหน้ากด
กลายเป็นว่าผมจึสามารถเงยหน้ามองบรรยากาศรอบข้างได้อย่างละเมียดละไมขึ้น
ผมกลับพบว่าหลายคนมาในที่สาธารณะ เพื่อใช้เวลาส่วนตัว
ครู่หนึ่งผมจึงปิดหนังสือ แล้วหยิบสมุดบันทึกขึ้นมา
ทั่งๆที่ผมมักจะชอบพิมพ์ไปเลยมากกว่า จนได้มาเป็นบันทึกตอนนี้
คือเหตุการจากการลืมของตัวเอง
สิ่งแรกที่ได้รู้คือผมเสพติดเทคโนโลยีในระดับหนึ่ง
ซึ่งเอาเข้าจริง ถ้าในตอนนี้ให้ผมกลับไปใช้เครื่อวขาวดำไร้ฟังก์ชั้น
ผมก็คงต้องปรับตัวอีกเยอะพอสมควร หรืออาจจะยอมแพ้ไปเลยก็ได้
ส่วนอีกอย่างหนึ่ง ผมได้รู้ว่า เวลา มีอิธธิพลกับชีวิตเราขนาดใหน
แต่ในเวลาเดียวกัน การที่เราไม่ผูกติดกับเวลาและการไม่มีแบบแผน
มันก็ทำให้เราได้ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องกังวลเวลา
อ่านหนังสือได้นานตามใจปารถนา สอดส่ายสายตาได้อย่างที่ใจต้องการ
จนเมื่อดวงอาทิตย์ดับลง ผมจึงรู้ตัวว่า นาฬิกาธรรมชาติได้ส่งเสียงเตือน
ถึงวลากลับสู่เคหะสถานได้แล้ว
และต่อไปผมคงขี้ลืมน้อยลง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น