วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จริงๆแล้ว คนเราต่างกำลังเดินทางกันตลอดเวลารึเปล่า

จริงๆแล้ว
คนเราต่างกำลังเดินทางกันตลอดเวลารึเปล่า
จากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่ง
ท่องเที่ยว เดินทาง พจญภัย
ไม่ว่าใช้คำใหน สิ่งที่คล้ายกันคือมันต้องมีจุดเริ่มต้น
และจุดหมายปลายทาง
ศิลปินหลายคนชอบใช้คำว่า
"เพราะชีวิตคือการเดินทาง"
แต่ในหลายครั้ง
การสร้างสรรผลงานอาจจะทำอยู่ที่บ้านตัวเองอย่างเงียบๆ
รึจริงๆแล้วคำว่าการเดินทาง
อาจจะไม่ใช่การเดินเท้าเสมอไป
ไม่นานมานี้มีโอกาสได้ไปฟังวิถีกวีหนุ่ม
พี่เช ซะการีย์ยา อมตยา เจ้าของหนังสือ
"ไม่มีหญิงสาวในบทกวี" เจ้าของซีไรท์ปี 53
ได้พูดคร่าวๆเอาไว้ว่า แกเดินทางตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ
เดินทางออกไปประเทศนู้นประเทศนี้ เดินทางไปที่ต่างๆ
เดินทางไปนอกจักรวาล
แต่เป็นการเดินทางโดยผ่านตัวหนังสือ
โลกใบกว้างใหญ่เราไม่สามารถไปพบเจอได้ทุกอย่าง
เรื่องราวต่างๆบนโลกใบนี้
มันมากกว่าชีวิตน้อยนิดทีเรามี
สิ่งที่จะเติมเต็มการเดินทางในบางเวลาที่เรายังไม่พร้อม
หรือไม่มีโอกาสไปได้ คงไม่พ้นการอ่านหนังสือหรือดูสารคดี
รึบางทีสำหรับนักจิตวิทยาก็มีคำๆหนึ่งที่เรียกว่า
"การเดินทางเข้าไปในจิตใจตนเอง"
ฟังดูน่ากลัว แต่น่าค้นหา
เชื่อว่าหลายๆคน น่าจะมีช่วงเวลาซักช่วงหนึ่ง
การตัดสินใจเรื่องที่ทำได้ยากในบางสิ่ง
มีทางแยกซ้ายขวา ที่ไม่รู้ว่าจะพาไปโพล่ที่ไหน
สุดท้ายขึ้นอยู่ที่การตัดสิ่นใจจากสิ่งที่อยู่ข้างในใจ
เดินไปซักแยก หรือเดินถอยหลังกลับ
แม้กระทั้งทุกวัน
เรายังเดินทางไปสู่ความตาย
ดังนั้นในความหมายของคำว่า
"ชีวิตคือการเดินทาง"
ก็คงไม่ผิดนัก
แต่ก็ยังคงต้องเพิ่มเติมต่อไป
ว่าสุดท้ายแล้วการเดินทางในแต่ละครั้ง
ความสำเร็จหรือจุดหมาย
อาจไม่ยิ่งใหญ่เท่าเรื่องราวที่ได้พบเจอระหว่างทาง
เพราะโลกมันกว้าง
การเดินทางจึงสำคัญ 
- เดินทางโดยสวัสดิภาพ -

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จันทร์เช้าก่อนข้าวเที่ยง

จันทร์เช้าก่อนข้าวเที่ยง
ดูเหมือนว่าทุกสิ่งอย่างรอบตัวยังไม่พร้อมรับกับวันทำงาน
คอมพิวเตอร์ป่วยไข้ที่หลายๆหน่วยงานนำมาส่ง
ยังคงตั้งอยู่บนชั้นไม้สีน้ำตาลในห้องสี่เหลี่ยมเงียบสงัด
รอเวลาจะส่งผ่านไปยังมือช่าง
ประตูเลื่อนอลูมิเนียมปิดสนิท
แยกตัดความเป็นห้องจากโลกภายนอกอย่างชัดเจน
นานๆทีจึงจะมีคนมาเปิด เปิดเพื่อถามหาบางคน
เปิดเพื่อหาถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในนี้
แสงแดดที่พยยามส่องผ่านกระจกหน้าต่าง
ถูกขวางด้วยผ้าม่านเขียวอ่อน
หลอดไฟนีออนไม่กี่ดวงจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ห้องนี้ไม่มืดมากนัก
คอมพิวเตอร์ส่วนตัวในตอนนี้
มีหน้าที่เป็นเพียงกล่องดนตรีขนาดใหญ่
ใช้ขับกล่อมเสียงเพลงออกมาทางลำโพงสีดำตัวเล็กซ้ายขวา
นวนิยายของเศร้างเหงาของมูราคามิ
เข้ากันดีกับซาวน์ดนตรีบรรเลงจาก Djโอคาวาริ
แต่ละแทรกในอลบั้มไดโอรามาถูกเล่นผ่านไปอย่างเป็นลำดับ
เฉกเช่นเดียวกับนวนิยายที่ถูกเปิดไปทีละหน้า
จากหน้าแรก สู่หน้าสอง จากทำนองแรก สู่ทำนองถัดไป
กาแฟดำในแก้วสีขาวเย็นชืดลงตามอุณภูมิ22องศาในห้องทำงาน
แต่ละจิบถูกลิ้มรสผ่านทางปลายลิ้นไปสู่ลำคออย่างช้าๆ
ความขมในอดีตกลายเป็นความกลมกล่อมในปัจจุบัน
ไม่มีน้ำตาล ไม่มีนม ไม่มีครีมเทียม
นอกจากเสียงของทำนองเพลงที่บรรเลงเข้ากันกับเสียงหึ่งๆของแอร์
แทบไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลยในห้องนี้
หากนี้จะเรียกได้ว่าเป็นความสุนทรียะระดับปัจเจกก็คงจะเห็นเป็นเช่นนั้น
ไม่คิดจะตะเกียดตะกายเพื่อขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงกว่า
ใช้ชีวิตเรียบง่ายในความธรรมดาตามหน้าที่ที่เรามี
มีอิสระเสรีตามแบบที่เราเป็น~

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กระปุกออมฝัน

กระปุกออมฝัน
บ้านผมมีอาชีพค้าขาย เรียกง่ายก็คือโชว์สวย
ซึ่งเอาเข้าจริงผมชอบชื่อโชว์ห่วยมากกว่า
สินค้าที่นานๆที่จะมีคนมาซื้อ หนึ่งในนั้นคือ
"กระปุกออมสิน"
ทุกครั้งที่เห็นลูกค้าที่เข้ามาในร้าน
แล้วเจาะจงถามหากระปุกออมสิน
ผมมักได้กลิ่นของความฝัน ความหวัง
ผ่านทางสีหน้าและรอยยิ้มเล็กๆเสมอ
เชื่อว่าคนที่มาหากระปุกออมสิน
ต้องนำมันเอาไปใช้สะสมเงินเพื่ออะไรบางอย่าง
อาจจะเพื่อตัวเอง คนข้างๆ หรือมองทางไกลในอนาคต
หากไม่เริ่มหยอด กระปุกก็คงมีแต่ความว่างเปล่า
การใส่เงินลงไปก็คงเสมือนการต่อเติมความฝัน
จากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน
เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันตามที่เราหยอด
ในความจริงชีวิตของเราก็คงคล้ายกันกับออมสิน
วินาทีแรกที่เกิดมา เราเป็นกระปุกออมสินว่างเปล่า
นานวันเข้า เรื่องราวประสบการที่ได้รับ
ราวกับเหรียญที่ค่อยๆเติมเต็มกระปุกใบนี้
เป็นกระปุกออมสินมีชีวิตที่ไม่มีวันเต็ม
จนถึงคราวที่เราจำเป็นต้องนำเงินนั้นออกมาใช้
หาเรามีจำนวนเงินในกระปุกที่มากพอ
เราคงสามารถสานต่อความฝันนั้นๆของเราได้
เช่นเดียวกันกับชีวิตที่ไม่รู้จะเจออะไร
การเก็บสะสมเหรียญไว้ในกระปุกสามารถช่วยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
หน้าที่ของกระปุกออมสินอาจไม่มีอะไรไปกว่า
การเก็บรักษาเอาไวในที่เดียวกัน
แต่เรื่องราวหลังจากนั้น มันเป็นเรื่องของเรา
หากไม่เริ่มเก็บสะสมก็คงไม่ถึงฝัน
ประสบการณ์ในชีวิตเราก็เช่นกัน 

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

8บิท

1378752_3477195106140_709003088_n
8บิท
สมัยก่อนเป็นเด็กติดเกม
แม่บอกว่าสมัย 2 ขวบ พอเริ่มหยิบจับอะไรได้
ก็เริ่มกดเกมเทอทริส แบบที่ใส่ถ่าน AA สองก้อน
เล่นไม่เป็น ขอแค่ได้ฟังเสียงก็มีความสุ
จนมาถึงสมัยของฟามิคอม เกมตลับกับปุ่มกดที่มากขึ้น
น้ำลายหลายลูกบาศก์เมตร
ที่เสียไปในการเป่าเข้าช่องว่างของตลับเกม
เป็นน้ำมนต์จากคนธรรมดา ที่มีความเชื่อว่า
ถ้าเป่าก่อนใส่ตลับ จะทำให้เกมนั้นเปิดติดง่ายขึ้น
แล้วก็ติดง่ายขึ้นจริงๆครับ
เอาซะติดตนเล่นลืมวันลืมเวลาเลยทีเดียว
คอนทรา นินจาไกเด็ด มาริโอ้ เด็กกระโดดห่วงไฟ
เด็กชาวป่าวิ่งไล่โยนค้อนขี่เสก็ต
กังฟู สตรีทไฟวเตอร์ บอมเบอร์แมน
อีกหลายต่อหลายเกมที่ช่วยเติมเต็มวัยเด็กให้มีสีสัน
ช่วยทำให้วันเวลาผ่านไปอย่างมีความสุข
(แม้ทุกข์บ้างตอนเล่นไม่ผ่านก็ตาม)
มนต์เสนห์ในตัวละครเหลี่ยมๆ ที่ไม่เน้นกราฟฟิกสวยงาม
ความยากง่ายในด่านที่กว่าจะผ่านนี่แทบคลั้ง
ในสมัยที่เกมยังไม่มีเซฟ
ทุกครั้งที่เปิดเครื่องใหม่กับเกมเดิม
เราต้องเจอกับตัวละครหน้าซ้ำๆตลอด
นานๆไปถึงบอสซักที และไม่ใช่ทุกครั้งที่ปราบได้สำเร็จ
ยุคสมัยที่อินเตอร์เนตไม่แพร่หลาย
ไม่มีบทสรุปตายตัว อาศัยความมั่วในการคลำทาง
จนมาถึงปัจจุบัน แม้ว่าฟามิคอมจะได้รับความนิยมน้อยลงไป
แต่มันก็ไม่หายไปใหน ตัวเครื่องอาจจะถูกแปลงไปกลายเป็นโปรแกรมหนึ่ง
ซึ่งสามารถเล่นในคอมพิวเตอร์ได้
ตลับเกมอันใหญ่ถูกลดย่อไว้เหลือเพียงไม่กี่เมกกะไบท์ในฮาดดิส
เกมหนึ่งถูกพิชิตได้โดยง่ายดาย โดยอาศัยเทคนิคต่างๆ
ที่เกมเมอร์ทั้งหลายโพสไว้ในอินเตอร์เนต
โลกอาร์เขตกลายเป็นกลายเป็นอดีตสำหรับคนกลุ่มเล็กๆ
แม้วันนี้เครื่องฟามิคอมของผมจะหมดอายุขัยไปแล้ว
ตลับเกมต่างๆ ก็หายไปจากการไม่ดูแลรักษา
เกมปวดสมองใหม่ๆที่มีมาให้เล่นไม่หวัดไม่ไหว
เวลาพัดพาอะไรใหม่ๆเข้ามาให้ชีวิตได้ทดลอง
แฟมิคอมจึงกลายเป็นอดีต
เป็นอดีตที่ไม่มีวันหายไปจากความทรงจำ

ทำไมเมาคลีต้องฆ่าแชรคาน?

ทำไมเมาคลีต้องฆ่าแชรคาน?
เมาคลีเป็นเด็กที่ถูกลืมทิ้งไว้ในป่า
และกำลังจะโดนแชรคานทำร้าย
แต่ได้รับความช่วยเหลือจาก อาคีล่า
จนได้เป็นครอบครัวของหมาป่าและสัตว์ป่า
ผ่านไปๆ อาคีล่าแก่ลง
แชร์คานหัวสมัยใหม่ ปลุกปั่นวัยรุ่นให้เลิกนับถืออาคีล่า จนไล่เมาคลีออกจากเผ่า
จนวันหนึ่งอาคีล่าแก่ตัวลง
เมาคลีก็ร่วมมือกับอาคีล่า
ชิงฆ่าแชรคานก่อนจะถูกฝ่ายนั้นเล่นเอา
แถมยังไม่ได้เป็นการฆ่าด้วยน้ำมือตัวเอง
เป็นการยืมเท้าสัตว์ชนิดอื่นมาฆ่า
ก่อนจะถลกหนังออกมาประจาน...
และเป็นการกระทำที่ได้รับการสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง
จริงเรื่องราวฝนวัยเด็กควรจะจบลงแค่นั้น
แต่ไม่นานมานี้ หลังจากผ่านวันที่6ตุลา
มีเพจบางเพจหยิบเรื่องนี้มาคุยอีกครั้ง
เลยเกิดคำถามชวนสงสัยว่า
จริงๆแล้ว การที่เมาคลีฆ่าแชร์คาน
ถือเป็นการ ทำดี เหมือนคำที่ตะโกนร้องบอก
"จงทำดี จงทำดี"
มันดีจริงๆรึเปล่า
เอาเข้าจริงแล้วการฆ่าสิ่งมีชีวิตซักชนิด
ผมมองว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องดีเท่าไร
หรือการตั้งตนเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม
ฆ่า อธรรม เพื่อเชิดชูคุณธรรม
เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในเวลานั้น
ทั้งแชร์คานและเมาลีอาจจะมีเหตุผลของตัวเอง
แต่ในเรื่องทั้งล้อไม่คุยปรับความเข้าใจกัน
เชื่อว่าทั้งเมาคลีและแช่ร์คาน
ถ้าคุยกันอาจจะเข้าใจกัน
โศกนาฏกรรมคงไม่เกิด
พอได้มองอะไรหลายๆมุม
เราก็ได้เห็นอีกด้านของเหรียญ
ด้านที่โรงเรียนไม่เคยสอนในกิจกรรมลูกเสือ
ได้ทำให้รู้ว่าวัยเด็กของเรา ถูกปลูกฝังอะไรมามากแค่ใหน
และอะไรคือสิ่งที่เราควรเลือกจะเชื่อ
มันอาจไม่มีถูกผิด
อยู่ที่ความคิดของตัวเราทั้งนั้น
แต่จะดีกว่ามั้ย ถ้าเรายอมรับฟังความคิด
ของคนที่เห็นต่าง และมองโลกแบบกว้างๆ
ขอบคุณเฟสบุคและคอมเม้นที่หลากหลาย ที่ทำให้เห็นอะไรกว้างขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อ้างว้าง~

1011770_3470699263748_1738086124_n
อ้างว้าง~

หลังจากที่สอบเสร็จไม่นาน
เหมือนมีแรงขับภายในอะไรซักอย่างมาดลใจ
ให้ขึ้นไปในสถานที่ที่ไม่เคยไป
บนตึก15ชั้นที่16 ชั้นด่านฟ้า
ลมบนโกรกมาตีหน้า
ในความอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว
สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในสถานที่แห่งนี้คือข้าพเจ้า
มองออกไป
ในท้องฟ้าที่ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ตรงใหน
ไม่ไกลนัก มีเก้าอี้หนึ่งตัวตั้งอยู่
เก้าอี้ไร้เจ้าของ
อนุสรณ์สถานแห่งกาลเวลา
ช่วงขาทั้งสีที่ถูกสนิมเกาะ
ความเปราะบางของมันที่สังเกตุเห็นได้ด้วยตา
เหงา
ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เอ่อขึ้นมาจากตัวข้าพเจ้า
หรือว่าเก้าอี้นี้เป็นตัวสื่อ
ยิงตรงความรู้สึกนั้นเข้าสู่ประสาทรับรู้ของข้าพเจ้าโดยตรง
หากมันมีความรู้สึก
ลึกๆมันคงไม่ต่างจากข้าพเจ้าเท่าไรนัก
อ้างว้างท่ามกลางเมืองใหญ่
วันๆนึงเจอผู้คนมากมายแต่แทบไม่รู้จักใครเลย
โมงยามผ่านไปอย่างไม่รู้สึก
จิตสำนึกกระตุกว่าน่าจะได้เวลาไปจากสถานที่แห่งนี้แล้ว
สายลมบนด่านฟ้ายังคงพัดมาแผ่วๆ
ข้าพเจ้าหันไปมองเก้าอี้ครั้งสุดท้าย
หยิบกล้องขึ้นมาถ่าย
ก่อนที่จะเดินจากไปและปล่อยมันเอาไว้อยู่ที่เดิม...

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"อะไรเล่าจะน่าสะพรึงไปกว่าจิตใจที่จ้องลึกลงไปในตัวของมันเอง"

1375750_3468546249924_1361296423_n
ในที่สุดก็ หลังจากที่เจียดเวลามาใส่ใจกันมันอยู่นาน
ผ่านไป 3 วัน ก็อ่านนวนิยายเล่มนี้จบลง
"อะไรเล่าจะน่าสะพรึงไปกว่าจิตใจที่จ้องลึกลงไปในตัวของมันเอง"
ผมสะดุดใจกับคำเปรยนี้บนหน้าปก
ในฐานะนักศึกษาจิตวิทยา คำว่า จิตใจ
เหมือนเป็นสิ่งดึงดูดให้ตัวผมเข้าไปหา
แล้วก็ไม่ผิดหวังมากนักกับช่วงแรกจนถึงกลางๆ
นวนิยายที่ใช้ตัวละครเพียงไม่กี่คน แต่สิ่งที่มากกว่า
คือดูเหมือนว่าตัวละครแต่ละคนจะมีปมปัญหาในใจที่ต่างกันออกไป
ในสังคมเมืองทุกวันเราก็ต่างเป็นแบบนั้น
โดยส่วนตัวผมค่อนข้างอินกับตัวเอกที่ดูเหมือนจะเป็นตัวแทน
ของความเฟอแฟคในชีวิต แต่กระนั้น
ความสงสัยความอยากรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุดของมนุษย์
กลับถลำลึกให้กระทำสิ่งใหม่ๆได้เสมอ
ครั้งหนึ่งผมเองก็เคยมีความคิดเหมือนในนวนิยายเรื่องนี้
อยากจะลองเลี้ยง "คน" ในฐานะของสัตว์เลี้ยง
เพราะผมคิดว่าด้วยสติปัญญาของคน
คงมีอะไรที่น่าอภิรมไปกว่าการเลี้ยงหมาแมว
แต่ด้วยกรอบของศีลธรรมทำให้ไม่สามารถกระทำแบบนั้นได้
หนังสือที่ลงลึกถึงจิตใจของคน
ผลของการกระทำที่สุดท้ายแล้วตนเองกลับเป็นฝ่ายถูกกระทำ
โรคจิต วิปริต สองคำนี้เราคงไม่สามารถไปตรีตราว่าใครคนนั้นได้
หากไม่มีคำยืนยันจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญพอ
ครึ่งหนึ่งครูในสาขาเคยบอกว่า
"หากว่าคนเรามีความสุขกับการกระทำอะไรบางอย่าง
เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเสนอตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงเขา
ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่ถูกต้องก็ตาม"
ผมเชื่อว่าจิตวิทยาไม่ใช้ศาษตร์
ที่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจคนได้ตลอดไป
เราทำได้เพียงรับรู้และคาดเดา
แค่รับรู้ เพียงเท่านั้น
เรื่องของจิตใจเป็นเรื่องที่หยั่งลึกลงไปกว่าใครจะหยั้งถึงได้อย่างสมบูรณ์
ป.ล.สำหรับนวนิยายเรื่องนี้
ไม่ค่อยประทับใจกับช่วงหลังๆและตอนจบเท่าไรนัก