วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สรุปเรื่องราวดีๆประจำปีแบบหยาบๆ

สรุปเรื่องราวดีๆประจำปีแบบหยาบๆ
- มกราคม -
เป็นช่วงที่มีความสุขกับช่วงปีใหม่
ในเดือนนี้เข้าร้านกาแฟเป็นกิจวัติ
ฟังเพลงเสียงดีๆ จดบันทึกประจำวันได้ประปราย
นั่งดูพื้นที่ชีวิตย้อนหลังแทบหมดทุกตอน
- กุมภาพันธ์ -
ไปเสม็ดช่วงต้นเดือนกับเธอคนนั้น
กุมภาพันธ์ช่วงเฟอร์บี้ฟีเวอร์ ราคาตลาดพุ่งพรวดพราด
เชียรพี่โต้ลงสมัครผู้ว่า กทม
ใช้ชีวิตว่างๆวนเวียนอยู่แถวสวนจตุจักร
กลางเดือนเต้น Harlem Shake
เมาลีโอสามขวด
ปลายเดือนไปงานบวชไอ้บอย
- มีนาคม -
ได้หม่อมเป็นผู้ว่า กทม
ดูแจ็คผู้สยบยักษ์ หมดเงินไปกับแผ่นเพลง
คิดอยากห่างๆมือถือตั้งแต่เดือนนี้ จนปัจจุบันยังทำไม่ได้
กินพิซซ่าวันเกิดพ่อ กลับมาเล่น Psp
เริ่มเสพเพลงเก่าๆ ปลายเดือนดูไอ้มดแดง
น้ำหนักขึ้นเป็น 64 วันที่ 31 ไปช้อปงานหนังสือ
เดือนนี้เป็นเดือนที่เริ่มเบื่ออะไรเดิมๆ
ถ้าว่าคิดจะเปลี่ยนตัวเองจริงๆ คงเป็นช่วงเดือนนี้
- เมษายน -
ต้นเดือนก็ยังวนเวียนอยู่ที่งานหนังสือ ประสคนเงินเดือนเพิ่งออก 
กฏห้ามขึ้นกระบะเล่นน้ำทำเอาโลกโซเชียลฮือฮา
กลางเดือนช่วงสงการณ์ กระแสพี่มากฟีเวอร์กำลังแรง
วลี "คุณมี...ของคุณ ผมมี...ของผม ก็พอแล้ว" กำลังฮิตเช่นกัน
สงการณต์วันแรกไป RCA มันจนร่างพัง เต้นในผับแบบเปียกๆ
ที่เหลือนั้งเล่นเกมอยู่บ้าน กลางเดือนดู The coods
ช่วงเวลาเดียวกับแอพติ้กเกอร์กำลังฮิต
เพิ่งรู้ตัวว่าติดค่ายสารคดี ดีใจเหรี้ยๆ ช่วงเริ่มสนุกกับการถ่ายภาพ
ปลายเดือนเจอเพื่อนเก่า ต่างคนต่างมีเรื่องเล่าน่าสนใจ
หนีงานไปทะเลวันที่ 30 เมษา
- พฤษภาคม - อายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ + ค่ายสารคดีเปลี่ยนชีวิต
ต้นเดือนมีไอร่อนแมน 3 ให้ดู
ทำสมุด D.I.Y ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
ซื้อ New balance คู่ใหม่ กับการจากไปของโซนี่วอคแมน
การเทสร่างกายของททำงาน
ทำให้รู้ว่าห่างเหินการออกกำลังกายมานานมาก
ที่บ้านดีใจยกใหญ่ที่รู้ว่าน้องสาวสอบติด ม.เชียงใหม่
ในวันที่ 11พ.ค. น่าจะเป็นช่วงจุดเปลี่ยนของชีวิต
ได้เข้าค่ายสารคดีวันแรก เจอคนเจ๋งๆอายุน้อยๆจำนวนมาก
ค้นพบว่าทุกวันนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ แล้วชีวิตก็เปลี่ยนไป
กลางๆเดือนซื้อ Ipad mini ให้น้องไปใช้
วันเกิดปีนี้ไม่ได้ไปใหน แต่แบคแพคไปเชียงใหม่หลังจากนั้นสองสามวัน
ได้เดินขึ้นดอย เห็นผู้คนที่มากด้วยความศรัทธา เห็นวิถีชีวิตคนเมือง
หลังจากไปเชียงให่กลับมา ข้าพเจ้าอยากทำงานสารคดี 
ปลายเดือนไว้อาลัยให้การจากไปของตลาดนัดรถไฟ
- มิถุนายน -
เปิดเดือนหมาด้วยศึกหน้ากากแดงขาว กับเรื่องการเมือง
ฝนตกแรงมากจนมอไซค์พังต้องเข็นเข้าอู่
กลางเดือนไปลงพื้นที่ค่างคืนกับค่ายสารคดี
เจอคนที่เจ๋งๆเยอะมากจริงๆ แต่ละคนโครตมีความฝันชัดเจน
เริ่มกลับไปเต้นบีบอยได้พักหนึ่ง เริ่มไม่สนใจความรักหงุมหงิมแล้ว
20 มิถุนา การจากลาของเหยิน หมา นักเรียนจ่าอากาศ
22 มิถุนา ออกทีวีประมาณ 5 นาที รายการเปิดบ้าน ThaPBS
23 มิถุนา ได้นั่งสนทนากับพวกฮิปปี้ มุมมองที่มีต่อคนพวกนี้เปลี่ยนไปเยอมาก
24 มิถุนา เกษตรแฟร์ สนทนากับลุงที่เย็บหนังสือขายเอง
แลกเปลี่ยนมุมมองของสังคมกันริมฟุตบาท
ปลายเดือนเสพติดายการวัฒนธรรมชุบแป้งทอด
เข้าร่วมการรับน้อง ไปดูพลังเด็กรุ่นใหม่
ปั่นงานส่งค่านสารคดี
- กรกฏาคม -
เปิดเดือนมากับหนัง ประชาธิปไทย ในช่วงที่การเมืองอุ่นๆ
เริ่มสนุกับการดูผู้คนในช่วงเดือนนี้
เป็นช่วงเดือนที่เริ่มอยากจะเขียนอะไรยาวๆในยุคที่คนชอบอ่านอะไรสั้นๆ
ได้เดินทางสายฟ้าแลบไปประจวบกับพี่ๆที่ค่ายสารคดี เป็นประสบการชีวิตที่โหดสัส
เฟลตรงที่ HDD เสีย รูปเก่าๆ หายไปเยอะมาก
บอกเลิกเธอคนนั้นคร้งแรก บังเอิญเจอไดอารี่ที่เขียนไว้ตอนมัธยมต้น
เป็นเดือนที่เริ่มเบื่อความรัก โมดิฟายมือถือจนพัง เสพติดสุราหนักขึ้น
ปลายเดือนเดินทางถ่ายรูปบีบอย
- สิงหาคม -
ต้นเดือนมีแอพ Maaii ทีหลอกกินตังผู้ใช้
ในเดือนนี้ชีวิตเริ่มนอนดึกมากขึ้น
เริ่มได้ยินคำว่า พรบ.นิรโทศกรรม ลองมาเข้าหูถี่ๆ
ช่วงเวลาที่ เดี่ยว 10 กำลังฮิต
เสพติดเพลง Acoustic & Bossa กับช่วงเวลาฝนตก
กลางเดือนมีแรงบรรดาลใจมากจนแทบล้น
เริ่มทำจิตวิทยากลุ่ม
ทำ Passport ทั้งๆที่ยังไม่รู้จะไปใหน
ปลายเดือนนั่งดู Make your move
มีวันนึงลืมเอานาฬิกากับมือถืออกจากบ้าน คนพบว่าชีวิตลำบากมาก
- กันยายน เดือนแห่งการค้นหาความหมายของชีวิต -
เปิดเดือนปั่นงานสุดท้ายค่ายสารคดีส่ง
การฮิตของ Emojination
บอกเลิกเธอคนนั้นครั้งที่สอง
ภาษีคนโสด กลายเป็นคำตัดพ้อของคนกำลังโสด
เชียรวอลเลย์บอล เชียรญี่ปุ่น 
นั่งดูงานเปิดตัวไอโฟน 5
ปิดค่ายสารคดีครั้งที9 แต่เรื่องราวต่อจากนั้นยังคงดำเนินต่อ
เดินทางไปดูชีวิตมากมายบนรถไฟ
กลางเดือนมีการประท้วงเครื่องแบบนักศึกษา
22 กันยา เดินคัดค้านเขื่อนแม่วงค์
24 - 30 เดินทาง ไปลาว มีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่า
- ตุลาคม -
กินเจได้สองสามวัน
แคมเปญ ส่งโค้กให้...มาแรงแซงโค้งมาก
ชีวิตเริ่มว่าง เริ่มตีตัวออกห่างจากกระแสสังคม
ใช้ชีวิตในโลกส่วนตัวกับหนังสือมากขึ้น หลายคนเริ่มมองว่าเป็นคนมีปัญหา
ได้ลูกแมวมา ทำหายสุดท้ายเจอมันซุกอยู่ในช่องเก็บของเล็กๆ
ไม่ได้เลี้ยงไว้ สุดท้ายต้องเอาไปปล่อย
กลางเดือนเดินงานหนังสือแทบจะทุกวันว่าง
ปลายๆเดือนได้รับความไว้วางใจให้ไปเป็นพี่เลี้ยงค่ายบางจาก
ไปอยุธยาสำรวจพื้นที่
- พฤษจิกายน -
เปิดเดือนมากับการไปค่ายบางจาก เจอวัยรุ่นไฟแรงมากมาย
รู้สึกเสียดายเวลาที่ปล่อยผ่านไปอีกแล้ว
ช่วงที่เริ่มมีการชุมนุมครั้งยิ่งใหญ่ทางการเมือง
ไปเดินชมงาน Aday bike แล้วอยากได้จักรยานซักคัน
กลางเดือนพาพ่อแม่ไปสวีทกันแถวแฟชั่น
วันลอยกระทงได้ไปถ่ายรูปเล่นสนุกดีบังเอิญเจอเพื่อนเก่าด้วย
กระแสลำยองฟีเวอร์ ได้ไปถ่ายรูปงาน 9ส้อม สนุกมาก
เด็กมหาลัยนี่น่ารักจริงๆ ซักพักเป็นไข้หนัก แทบแย่
เดือนนี้เริ่มไว้อาลัยประชาธิปไตย
ปลายเดือนลงชุมชนครั้งแรก
- ธันวาคม -
การชุมนุมเริ่มรุนแรงขึ้น เริ่มมีการใช้แก็สน้ำตา
ที่งงกว่าคือวันพ่อ ทั้งสองฝ่ายหันมาจับมือกันวันนึง
ก่อนจะสู้กันต่อในวันที่ 6 ธันวา
ไปบิ้กเม้าเท่า ค้นพบเพื่อนใหม่อีกมากมาย
ได้บันทึกช่วงเวลาดีๆไปด้วยกัน
หลงรักโปสการ์ดมากขึ้น ช่วงเดือนสุดท้ายที่ของต่างลดราคา
เดือนที่พบว่าซื้อของให้คนในบ้านไปเยอะมาก
เดือนที่พบว่าไม่อยากจะมีความรัก ไม่ต้องการแฟน
ยังคงแสวงหาการเดินทางต่อไป
เดือนที่คิดอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่
++++++++++++++++++++++++++++++
ขอให้ปีหน้ามีเรื่องราวดีๆให้ได้เรียนรู้มากขึ้นอีก 
ขอบคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตครับ

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้ กับฟิล์มใบที่ 25 ที่หายไป (มีสปอยด้านล่าง)

the_secret_life_of_walter_mitty_poster


ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้
กับฟิล์มใบที่ 25 ที่หายไป (มีสปอยด้านล่าง)
วอลเตอร์ มิตตี้ ผู้ทำหน้าที่ลำดับภาพในนิตยสารฉบับหนึ่งมานานกว่า 16 ปี
ชีวิตซ้ำซากจำเจทำให้หลายๆครั้ง เขามักผ่อนคลาย โดยการสร้างโลกจินตนาการของตัวเองขึ้นมา
ปัญหาของเขาเริ่มตั้งแต่การที่ไม่เคยได้ใช้ชีวิต จนไม่สามารถกรอกข้อมูลที่น่าสนใจ
ลงไปในช่องโปรไฟล์ของตัวเองในเวปไซท์หาคู่ได้
อีกทั้งฟิลม์ใบสำคัญซึ่งช่างภาพอิสระมากฝีมือส่งมาให้ ก็ดันมาหายไป
และดูเหมือนว่าสาวที่แอบมีใจให้ ก็ดันเริ่มเข้ามาสนใจมนตัวเขาแล้วเช่นกัน
สิ่งที่น่าสนใจคือการเดินทางออกไปตามหาภาพใบสุดท้าย
แต่ไม่รู้ว่าจะไปตามหาช่างภาพได้ที่ใหน
เนื่องจากช่างภาพคนนั้นเดินทางไปเรื่อยๆ
ใช้nikon f3/t ในยุคที่ภาพถ่ายดิจิตอลเกลื่อนกลาด
ไม่พกโทรศัพท์ ไม่มีที่อยู่ที่แน่นอน
การเดินทางโดยที่มีจุดหมายเป็นผู้คนมิใช่สถานที่
ย่อมลำบากมากขึ้นเป็นทวีคูณ
เรื่องราวมากมายระหว่างการเดินทางราวกับช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป
ชีวิตที่ถูกใช้อีกครั้ง มอบพลังที่คาดไม่ถึงให้เสมอ
การเดินทางตามาภาพถ่ายใบสุดท้ายจะเป็นเช่นไร
อยากให้ลองออกไปตามหาพร้อมๆกันในโรงภาพยนต์ 
_...................................................._
ข้อความด้านล่างอาจมีสปอย
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
สำหรับตัวผมแล้ว ความประทับใจทั้งหมดขอมอบให้กับตัวเอก
ตัวเอกที่เหมือนเป็นตัวแทนของมนุษยวัยทำงานปัจจุบันหลายคน
ที่ยอมทิ้งตัวตน ทิ้งชีวิตที่เคยใช้ ทุ่มเทเวลาให้กับ งาน เงิน
เช่นตัวเอกที่ในเรื่องจะบอกเป็นนัย
ว่าในวัยเด็กเคยเป็นแชมป์เสกตบอร์ด
และช่วงที่เก็บของเก่าแล้วเจอกระเป๋า ทีเคยใช้ท่องเที่ยวยุโรป
แบคแพคเกอร์น่าจะเป็นความฝันคลาสสิกสำหรับวัยรุ่นในยุคโหยหา
การเวลาที่ผ่านไปพร้อมๆกับเรื่องราวในชีวิต
หลังเสียพ่อที่สนิทไป ชีวิตโลดโผนก็ดูเหมือนจะเสียตามไปด้วย
ต้องเริ่มทำงาน เก็บเงิน ใช้ชีวิตสามัญ
จนภาพถ่ายใบสำคัญหาย
การเดินทางจึงได้เริ่มต้นขึ้น
ตลอดเส้นทางเจอเรื่องราวที่ไม่คาดฝันเสมอๆ
เจอคนที่คุยไม่รู้เรื่อง เจอน้ำใจที่ได้รับ
พบกับช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจแบบฉับพลัน
สิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้
ชอบตรงที่ตัวเอกทำงานในนิตยสาร
เพราะเป็นความฝันอย่างหนึ่งเช่นกัน
ชอบที่แสดงความทุ่มเทของช่างภาพจริงๆ
ชอบการเดินทางไปหาจุดหมายเคลื่อนที่ได้
ชอบภาพถ่ายจากมุมสูงที่หนังเรื่องนี้ฉายให้เห็นบ่อยๆ
ชอบเสียงดนตรีที่ค่อยๆเร่งเร้าจังหวะให้อินตาม
ชอบที่ในตอนหลังๆ
ช่วงเวลาที่ตัวเอกเริ่มบันทึกการเดินทาง
ชอบท่าวิ่งของพระเอก
ฉากไถลเสกตบอร์ดทำเอาเคลิ้มไปกับบรรยากาศ
บางฉากของหนังค่อนข้างคุมโทนให้กึ่งๆภาพจากกล้องฟิลม์
ชอบแง่คิดในการใช้ชีวิตที่แฝงแทรกมาตลอดเรื่อง
หนังจบแบบจบจริงๆ ไม่มีให้ลุ้นเก็บไปคิดเอาเอง บทสรุปแน่ชัด
บางฉากของหนังอาจจะดูเวอร์จนอาจจะรู้สึกเกินความเป็นจริง
แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าหนังมันจะสมจริงตั้งแต่ดูเมลเลอร์อยู่แล้ว
ไม่รู้ว่าถ้าอีกหลายคนได้ดูจะรู้สึกแบบเดียวกันรึเปล่า
แต่สำหรับเรา เราคิดว่า เรื่องนี้เป็นหนังที่ชอบที่สุดในรอบปีนี้แล้ว
ดูจบแล้วเกิดความรู้สึกแบบ
อยากจะออกไปพจญภัยสร้างเรื่องราวของตัวเอง
และบางทีสิ่งที่เราตามหามาตลอด
มันอาจจะไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเราเท่าไรนัก
ป.ล.ชอบโปสเตอร์ใบนี้แฮะ

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ยิงปีนลม ล้มเท่าไรเอาไปเลย

1520650_3755777390523_1090660714_n

ยิงปีนลม ล้มเท่าไรเอาไปเลย
หากใครเคยยิงน่าจะทราบว่า
ตุ้กตาแต่ละตัวแทบจะไม่สามารถล้มได้ในการยิงนัดเดียว
เต็มที่ก็ทำให้มันเขยื้อน หรืออาจจะฟลุกหล่นบ้างบางคราว
จริงๆแล้ว ความสนุกของการยิงปืนชนิดนี้
มันอาจไม่ได้อยู่ที่ว่าใน 15 นัด เราจะยิงโดนเท่าไร
แต่มันอยู่ที่ว่าเรายิงด้วยกันกับใคร
ช่วงแรกที่เริ่มเล่น ต่างคนต่างยิง
สะเปะสะปะ หวังแค่จะสะสมตุ้กตาให้เยอะ
เพื่อเอาไปแลกเป็นตัวใหญ่กว่า
เวลาเพื่อนข้างๆยิงไม่โดน
เราก็จะหัวเราถากถาง สนุกดีๆ
หลังจากที่เงินหมดไปหลายบาท
สัญชาติญาณความสามัคคีก่อนกำเนิด
เกิดเป็นเทคนิคใหม่ที่ค้นพบได้ด้วยตนเอง
จากการแข่งขัน การเป็นการร่วมมือกัน
ค้นพบว่าการช่วยกันยิงเป็นทีม
สนุกกว่าการยิงคนเดียว
กระสุน 15 นัด 20 บาทหรืออาจจะมากกว่า
กับสมาชิกในทีมประมาณ 4-5 คน
มิตรภาพก่อกำเนิดเมื่อเกิดความสามัคคี
การเล่นในรูปแบบที่ร่วมมือกันย่อมสร้างสรรความอัศจรรย์ได้เสมอ
เมื่อกระสุนทุกคนพร้อม สมาชิกในทีมจะเล็งเป้าหมาย
ไปที่ตุ้กตาตัวเดียวกัน
เมื่อได้สัญญาณ "ป้อก"
เสียงลูกยางจากปลายกระบอกปืนของคนแรก
พุ่่งเค้าไปชนตุ้กตาตัวหนึ่ง
ทำได้เพียงแค่ให้มันเขยื้อน แต่ยังไม่ล้ม
ฉับพลัน เสียง "ป้อก" ที่สองดังขึ้นอีก
สมาชิกในทีมอีกคนยิงซ้ำเข้าที่จุดเดิม
ตุ้กตาโดนจู่โจมสองครั้งติด ลองไปนอนนิ่งอยู่ที่พื้น
ก่อนเจ้าหน้าที่จะนำมาให้ใข้เป็นคะแนนต่อไป
ในหนึ่งชุดยิงประกอบด้วยผู้คนประมาณ 3-5 คน
หากคนหนึ่งสองพลาด ยังจะมีคนที่ สามสี่ห้า
คอยซ้ำตุ้กตาให้ล้มลง
แทบจะประสบความสำเร็จในทุกครั้งที่เล่น
เห็นได้จากจำนวนของรางวัลที่ได้รับกันทุกคน
หากวัดผลขอวรางวัลด้วยจำนวนเงินที่เสียไป
อาจจะไม่คุ้มค่าคุ้มราคาเท่าไรนัก
แต่หากวัดด้วยความอิ่มเอมใจและการได้ใช้เวลาเฮฮา
ทำกิจกรรมแปลกใหม่กับเพื่อนฟูง
นับได้ว่าเงินจำนวนที่เสียงไปคุ้มค่ามหาสารเลยก็ว่าได้
ในวันนี้ที่มีงานเลี้ยงปีใหม่ของกรม
เป็นปีที่ 3 ที่เราเข้าร่วมงานในที่แห่งนี้
เผลอเป็บเดียวเองจริงๆนะ...
เวลามักผ่านไปเร็วเสมอ แต่ทุกครั้งที่เจอเพื่อน
ราวกับเวลาถูกสตาฟเอาไว้
แต่ละคนแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย
นานๆจะเจอกันที
วันนี้แฮปปี้ๆ
ขอบคุณเพื่อนๆที่ยิงตุ้กตาให้ 

วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ที่อนุสาวรีย์ชัยในเวลาเกือบห้าทุ่ม

644353_3740472367907_324823897_n
ที่อนุสาวรีย์ชัยในเวลาเกือบห้าทุ่ม อากาศกำลังดี
ช่วงเวลาที่ชีวิตเลือนลอย ยังขี้เกียจกลับบ้าน
หากแต่อยู่ว่างๆก็ไม่รู้จะนั่งทำอะไร
ไปซื้อเบียรมาป๋อง นั่งมองผู้คนเดินไปมา
นั่งเป็นเพื่อนหมาที่นอนหมอบอยู่ตรงหน้าเรา
ราวกับผู้คนถูกเชิดด้วยเชือกที่มองไม่เห็น
ทุกคนพร้อมใจยืนเฉียงขวาหันหน้ามองไปไกลๆ
ไม่รู้ว่าสายตาโฟกัสที่ใหน
เชื่อว่าต่างคนต่างมีจุดหมายไม่เหมือนกัน
สีหน้าเลืื่อนลอยของคนที่กำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
ต่างปรากฏขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ
เขากำลังคิดถึงอะไร?
เตียงนอนนุ่มๆ อ้อมกอดอุ่นๆ
หรือต้องกลับไปวุ่นกับเรื่องราวที่ยังค้างคา
ในใบหน้าเมื่อยล้ายังมีสายตาที่จับจ้องมองอยู่
เมื่อรถซักคันแล่นมา ใบหน้าที่มองทางขวา
ค่อยๆเลื่อนมาตรงกลาง
เพิ่งพินิจรหัสรถสักครู่
หากเป็นสายที่ใช่ก็ก้าวขึ้นไป
หากไม่ใช่
ใบหน้าก็เลื่อนเฉียงขวากลับไปตำแหน่งเดิม
ในช่วงเวลาเดียวกัน
คนสิบคนอาจมีกิจกรรมอะไรบางอย่างต่างกัน
ช่วงเวลาที่ข้าพเจ้านั่งเงียบสงัดมองดูผู้คนอยู่นี้
อาจเป็นเวลาเดียวกับที่ผับแถวรัชดากำลังเปิดเพลงสนุกสนาน
อาจเป็นเวลาเดียวกันกับที่บางบ้านนั่งดูละครกันอย่างอบอุ่น
คิดว่าช่วงเวลามักผ่านไปเร็วเสมอ
นั่งพิมพนั่งมองไปมา ดูนาฬิกาอีกที่ เข็มยาวชี้เลข6แล้ว
ช่วงเวลากลับบ้านของข้าพเจ้าคงมาถึงแล้วสินะ...
ราตรีสวัสดิ์กรุงเทพ 

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

- เกาลัด -

1468581_3728937119533_565458383_n
- เกาลัด -
บ่ายโมงกว่าริมฟุตบาทย่านถนนเยาวราช
อากาศแสนสบายคล้ายมือนุ่มๆ
โบกสะบัดพัดร่างกายข้าพเจ้า
ให้ออกไปไกลๆจากกิจวัตประจำวัน
ข้าพเจ้ากับเยาวราชเติบโตมาพร้อมๆกัน
เมื่อยังเล็ก แม่มักจูงมาที่นี้บ่อยๆ
ค่อยๆดู ค่อยๆเรียนรู้ ค่อยๆจดจำร้านต่างๆ
ย่านนั้นขายอะไร ย่านนี้มีอะไรขาย
ราวกับแม่สัตว์ที่สอนวิธีหากินให้ลูกในอนาคต
จนถึงในวันนี้ วันที่ข้าพเจ้าสามารถมาทำธุระบางอย่างแทนได้แล้ว
เยาวราชยังคงเต็มไปด้วยผู้คนดั่งเช่นหลายๆครั้งที่มา
ในวันที่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเวลา
ข้าพเจ้าจึงค่อยๆพาสองขาเดินไปเดินมาได้อย่างไม่รีบร้อน
หากพูดถึงของฝากจากเยาวราช
นอกจากทองคำที่ราคาไม่แน่นอน
นอกจากหูฉลามน้ำแดงที่แลกมาด้วยหนึ่งชีวิต
นอกจากรังนกแท้ๆที่แม่นกสร้างไว้ให้ลูกอาศัย
คิดว่า "เกาลัค" น่าจะเป็นคำตอบอันดับต้นๆที่ผุดขึ้นมาในใจ
เกาลัดลูกอ้วนๆเปลือกแข็งๆข้างในเนื้อนุ่มหวาน
ที่ผ่านกระบวนการใส่ความร้อนจากเม็ดทรายสีดำในกระทะใบใหญ่
มีคนเคยบอกว่าหากทานตอนร้อนๆจะอร่อยเป็นพิเศษ
สิ่งหนึ่งที่ข้าพเห็นถึงการเปลี่ยนไปจากสมัยก่อน
ในตอนนี้มีเครื่องจักรเกาลัคที่สามารถหมุนวนได้โดยอัตโนมัติ
ภาพของลุงแก่ๆแต่แข็งแรง ใช้สองมือจับด้ามกวนอันใหญ่
กวนเกาลัคในกระทะใบใหญ่จึงมีให้เห็นน้อยลงไปเรื่อยๆ
เมื่อเครื่องจักรเข้ามาแทนที่ วิถีชีวิตก็เปลี่ยนไป
หายไปบ้างแต่ไม่หายสาปสูญ
ข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยลองเอามาเปรียบเทียบดู
ว่าระหว่างคนคั่วเองกับเครื่องจักรคั่วให้
อันใหนจะได้รถชาตที่ดีกว่ากัน
เชื่อว่าตัวแปลมันไม่น่าจะอยู่ที่เครื่องจักร
หากอยู่ในทุกๆกระบวนการของการทำ
คัดเมล็ด รอจังหวะไฟ ใส่เมล็ดลงไป จนถึงขั้นตอนที่นำใส่กล่อง
กระบวนการทั้งหมดมากกว่าที่จะเป็นตัวชีวัดว่าเกาลัคนั้นอร่อยถูกปากแค่ใหน
ในบางร้านที่เห็น มีบริการแคะเปลือกไว้ให้
เพียงคุณซื้อกลับไปสามารถเปิดซองใสแล้วนำใส่ปากได้เลย
ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่ามันน่าจะง่ายไปซักนิด
การกินเกาลัคจริงแล้วมันอาจจะเป็นการฝึกตัวเองอย่างหนึ่ง
ตั้งแต่ขั้นตอนการแกะ และหากเรานำลูกแรกใส่ปาก
ต้องใช้เวลาซักพักกว่าลูกต่อไปจะแกะสำเร็จ
นั้นทำให้เราไม่สามารถยัดเกาลัคที่ละ 10 ลูกพร้อมๆกันในปากได้
ทีละลูก ลูกละคำ น่าจะเป็นการกินเกาลัคที่อร่อยที่สุดแล้ว
แม้แต่ที่เยาวราชเอง
ข้าพเจ้ายังไม่เคยพบเจอผู้ใดแกะเกาลัคได้พร้อมกันทีละสองลูก
เนื้อหวานๆอาจจะมาจากความใส่ใจในทุกขั้นตอน
เปลือกที่แข็งกระด้างแต่สร้างความอ่อนนุ่มไว้ด้านใน
น่าจะเหมือนใจคนที่ต้องค้นแคะแกะเปลือกออก
ถึงเจอความหวานที่ซ่อนไว้
ส่วนจะน่าทานหรือไม่ เราน่าจะเป็นคนตัดสินใจเอง....
KhaikunG
17/12/56