เป็นช่วงชีวิตในวัยยี่สิบกว่าๆที่คิดว่าใช้ชีวิตได้คุ้มค่าดี
ถึงตอนนี้จะมีงานประจำที่คิดว่าทำสบายแล้วก็ตามที
แต่ยังไม่อยากหยุดอยู่กับความสบายที่ได้มาแบบง่ายๆ
คิดว่าชีวิตยังเรียนรู้อะไรไม่มากพอเมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกัน
คงเป็นโชคดีอย่างหนึ่งของชิวิตที่ลมได้พัดเปลี่ยนทิศให้พบกับคนเจ๋งๆจำนวนมาก
เวลาคนที่มีความมุ่งมั่นมาอยู่รวมกัน
เหมือนเห็นกลุ่มก้อนความฝันกำลังล้อมวงสนทนา
ยิ่งเจอคนเก่งๆมากเท่าไร อัตตาในตัวยิ่งละลายลดลง
เคยคิดอยากจะมีไทมเมทชีนเพื่อไปแก้ไขอะไรบางอย่าง
แต่ลองมาคิดดูอีกที
ก็เหมือนเส้นทางที่เดินผ่านมาค่อนข้างลงตัวแล้ว
หากวันนั้นช่วงชั้น
ม4 ไม่เลือกที่จะเข้าโรงเรียนทหาร
เราคงไม่มีวันรู้แน่ๆว่าจริงๆแล้วตัวเองต้องการอะไร
ขอบคุณช่วงเวลาสามปีในโรงเรียนทหาร
ที่ทำให้เรารู้ว่าห้องสมุดเป็นโลกอันเลอค่าอีกหนึ่งใบ
โลกที่ไม่มีเสียงนกหวีดเรียกรวมแถวให้รำคาญใจ
โลกใบเล็กที่มีอณาเขตเพียงหนึ่งเก้าอี้และโต๊ะที่ใช้ร่วมกัน
ขอบคุณหนังสือปรัชญาเล่มนึงที่เราบังเอิญหยิบมาอ่าน
โดยหวังแค่จะอ่านเล่นๆ
แต่ดันไปเจอบทนึงที่น่าสนใจ
เป็นประโยคที่ใครก็ไม่รู้
สอนให้เรามองสิ่งของแบบแยกส่วน
โต๊ะจริงๆแล้วก็แค่ไม้หลายๆชิ้นประกอบกัน
คน
จริงๆแล้วก็แค่ผลรวมของอวัยวะหลายๆชิ้น
มีเพียงแขนหรือขาก็ไม่นับว่าเป็นคน
สุดท้ายตัวเราเองก็ไม่ได้เป็นของเราเองซะทีเดียว
เราจำได้คร่าวๆเท่านี้
แต่เป็นสามสี่ประโยคเริ่มทำให้เราสนใจในโลกน้ำหมึก
แต่ละเดือนในห้องสมุดโรงเรียนจ่าอากาศ
เรามักรอคอยการมาถึงของเนชนอล
จีโอการฟฟิกเล่มใหม่
เป็นหนังสือสารคดีฉบับเดียวมั้งที่ห้องสมุดรับมา
พบว่าภาพสวยๆกับเนื้อหาทำให้ช่วงเวลาพักเที่ยงผ่านไปเร็วมาก
(อ่อลืมไป
มีต่วยตูนพิเศษ อีกเล่มที่รออ่าน)
นับตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มสนุกกับการที่ได้รู้เรื่องราวใหม่ๆ
ไม่นานมานี้เพิ่งเจอไดอารี่สามสี่เล่มที่ตัวเองเขียนไว้
ในช่วงสามปีที่เป็นนักเรียนทหาร
มันอาจจะไม่มีสาระอะไรไปมากกว่าการระบายเรื่องราวลงไปในนั้น
แต่ในวันที่เราหยิบมันมาดูอีกครั้ง
เราพบว่าเรื่องพวกนั้นกลายเป็นสิ่งยืนยันความทรงจำที่ดีเลยทีเดียว
นี่อาจจะเป็นเพียงหนึ่งในเมโลดี้ของชีวิต
ข้าราชการอาจเป็นเพียงFirst
job หรือ
Final job
ก็ไม่ทราบได้ ตราบใดที่อนาคตคือความไม่แน่นอน
ตอนต่อไปคงตามมาอีกไม่นาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น