วันนี้ไปดู tracers มา
เราว่าสนุกนะ ไม่สิ จริงๆแล้วที่ชอบอาจเป็นเพราะตัวหนังมันถูกจริตกับเราต่างหาก
จริงอยู่ที่ส่วนของเนื้อเรื่องอาจจะงั้นๆ ตามประสาพล้อตหนังแอคชั่นทั่วไป เอาตัวเองไปอยู่ในกลุ่มพัวพันกับเหตุการณ์ยุ่งเหยิง ดวงดีสัสๆจนรอดชีวิตได้และจบแบบสวยงามตามแบบหนังบู้
แต่สิ่งที่เราตั้งใจมาดูคือการที่เรื่องนี้เชิดชูเกี่ยวกับ Street Extream ประเภท Free running หรือ Parkour ซึ่งหนังประเภทที่เอาการวิ่งบ้าใต่กำแพงปีนตึกมาเป็นแกนหลักมีไม่ให้บ่อยนัก จากเรื่องเก่าๆที่เคยดูก็มี B13 มาจนถึงตอนนี้
ในฐานะที่เคยได้ลองสัมผัสโลกของกีฬาชนิดนี้มาก่อน บอกเลยว่ามันไม่ง่ายกว่าจะได้มาแต่ละท่า และยากไปการนั้นคือการทำคอมโบต่อเนื่องแบบในหนัง (ซึ่งรู้ว่าเอาจริงแต่ละฉากก็คงไม่ได้วิ่งนานรวดเดียวขนาดนั้น) จากเบสิก ไปจนถึงขั้นประยุกต์ จนชำนานและกลั่นออกมาเป็นท่าทางเฉพาะของตัวเอง
หากจะบอกว่าหนังได้แรงบันดาลใจมาจากเกม Mirror edge ก็คงไม่ผิด ทั้งในเรื่องการปีนตึกเข้าซอกกออกซอยเพื่อส่งพัสดุหรือการวิ่งแข่งขันของบรรดานักวิ่ง เราไม่รู้ว่าในเมืองนอกมีนักวิ่งปีนตึกเพื่อส่งพัสดุแบบนี้รึเปล่า แต่ถ้ามีคงเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เร้าใจไม่น้อย
หากความสนุกของบีบอยคือการใช้พละกำลังและประสบการณ์จากการฝึกซ้ำจนกล้าเนื้อเริ่มชินและชำนาญท่าทางตามที่ได้ฝึกมา ความสนุกของปาร์กัวเห็นจะเป็นการพาตัวเองออกไปในสถานที่ใหม่ๆ ไปใช้ท่า(หรือตามภาษาเรียก Trick)กับวัตถุที่แปลกตาออกไปโดยมีการตัดสินใจที่รวดเร็วเป็นเครื่องมือกันตาย
และไม่ว่าจะเป็นกีฬา Extream ประเภทอะไรก็ตาม ความจริงอย่างหนึ่งที่ผู้เล่นกีฬาประเภทนี้ต้องเผชิญคือการเจ็บตัว
แน่ละว่าช่วงหนึ่งในชีวิตก่อนไขมันจะพิซิตซิคแพคไปได้หมด(เคยมีจริงๆนะ) ความสนุกในแต่ละวันของเราเองก็เป็นการออกจากบ้านไปเล่นอะไรพวกนี้ให้ปวดเมื่อยตัวกลับมา หรือถ้าวันใดได้แผลเจ็บๆคันๆวันนั้นจะรู้สึกดี แต่ทุกเวลาที่ได้ท่าใหม่หรือตั้งใจฝึกทริกอื่นๆมันจะเป็นช่วงเวลาที่โครตสนุก
เพราะความสนุกของมันคือการไม่มีกฏตายตัว
เมื่อเล่น Extream ได้ซักชนิด มันก็อยากจะหาแบบอื่นเล่นเรื่อยๆ เหมือนอย่างในหนังที่พระเอกเป็นเซียนจักรยานผาดโผนมาก่อนที่จะหัดปาร์กัว การต่อยอดของการเล่นพวกนี้เองทำให้เกิดความหลากหลาย เหมือนเด็กเสก็ตหลายคนก็ปั่นฟิกได้ และบีบอยหลายคนก็ตีลังกาได้ไม่น้อยไปกว่าเซียนฟรีรันนิ่ง
ชอบประโยคหนึ่งในหนัง ที่คนในทีมของพระเอกพูดเปรยๆให้ฟังประมาณว่า
"ไม่ว่าจะเรียกมันว่า Parkour หรือ Free running หรือจะอะไรก็ตามแต่ จุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียวคือการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ไม่งั้นเราก็จะจมอยู่แค่นั้นนั่นแหละ"
ใช่ เราต้องข้ามขีดจำกัด ไม่งั้นเราจะจมแค่นั้น นี่คือสิ่งที่ทำให้นักกีฬาฟรีรันนิ่งทั้งหลายยังอยากใช้ชีวิตผาดโผนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แม้ลึกๆจะรู้ว่าวันหนึ่งเมื่อสภาพร่างกายไม่ถึงก็ต้องหยุด แต่ก่อนหน้านั้นขอใช้ชีวิตให้สุดก่อนดีกว่า
สารภาพ ตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่ในตัวกรุงเทพผ่านพ้นไป ชีวิตสุดสบายหลายเดือนทำให้ผมเกิดความเคยชินที่จะออกไปซักซ้อมกีฬาประเภทนั้น จนมันแทบจะหายไปหมดแล้วในตอนนี้ แม้ลึกๆใจตัวเองรู้ดีว่าอยากจะกลับไปโลดโผนแบบนั้นอีกจะตาย
ไอ้การก้าวข้ามขีดจำกัดนี่เองที่ดูเหมือนจะยังคงครุกรุ่นในตัวอยู่ ในช่วงนี้ บางวัน นึกคึกก็เปิดเพลงซ้อมเต้นในบ้านบ้าง หรือหากว่างๆก็ยังมักแวะเวียนเข้ายูทูปเพื่อดูคลิปพวกนี้อยู่ ดูแม้จะรู้ว่าทำแบบนั้นไม่ได้แน่ แต่บางครั้งแต่ได้ดูก็สุขใจ
และดูเหมือนว่าไม่ใช่เพียงนักกีฬาชนิดนี้เท่านั้นที่ต้องการก้าวพ้นขีดจำกัด เราว่าลึกๆแล้วทุกคนเองก็ต้องการก้าวผ่านจุดนี้ของตัวเองไปทั้งนั้น ส่วนนั่นจะไปได้ไกลแค่ใหน คงอยู่ที่ใจและระยะเวลาในการฝึกฝน
เราว่าสนุกนะ ไม่สิ จริงๆแล้วที่ชอบอาจเป็นเพราะตัวหนังมันถูกจริตกับเราต่างหาก
จริงอยู่ที่ส่วนของเนื้อเรื่องอาจจะงั้นๆ ตามประสาพล้อตหนังแอคชั่นทั่วไป เอาตัวเองไปอยู่ในกลุ่มพัวพันกับเหตุการณ์ยุ่งเหยิง ดวงดีสัสๆจนรอดชีวิตได้และจบแบบสวยงามตามแบบหนังบู้
แต่สิ่งที่เราตั้งใจมาดูคือการที่เรื่องนี้เชิดชูเกี่ยวกับ Street Extream ประเภท Free running หรือ Parkour ซึ่งหนังประเภทที่เอาการวิ่งบ้าใต่กำแพงปีนตึกมาเป็นแกนหลักมีไม่ให้บ่อยนัก จากเรื่องเก่าๆที่เคยดูก็มี B13 มาจนถึงตอนนี้
ในฐานะที่เคยได้ลองสัมผัสโลกของกีฬาชนิดนี้มาก่อน บอกเลยว่ามันไม่ง่ายกว่าจะได้มาแต่ละท่า และยากไปการนั้นคือการทำคอมโบต่อเนื่องแบบในหนัง (ซึ่งรู้ว่าเอาจริงแต่ละฉากก็คงไม่ได้วิ่งนานรวดเดียวขนาดนั้น) จากเบสิก ไปจนถึงขั้นประยุกต์ จนชำนานและกลั่นออกมาเป็นท่าทางเฉพาะของตัวเอง
หากจะบอกว่าหนังได้แรงบันดาลใจมาจากเกม Mirror edge ก็คงไม่ผิด ทั้งในเรื่องการปีนตึกเข้าซอกกออกซอยเพื่อส่งพัสดุหรือการวิ่งแข่งขันของบรรดานักวิ่ง เราไม่รู้ว่าในเมืองนอกมีนักวิ่งปีนตึกเพื่อส่งพัสดุแบบนี้รึเปล่า แต่ถ้ามีคงเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เร้าใจไม่น้อย
หากความสนุกของบีบอยคือการใช้พละกำลังและประสบการณ์จากการฝึกซ้ำจนกล้าเนื้อเริ่มชินและชำนาญท่าทางตามที่ได้ฝึกมา ความสนุกของปาร์กัวเห็นจะเป็นการพาตัวเองออกไปในสถานที่ใหม่ๆ ไปใช้ท่า(หรือตามภาษาเรียก Trick)กับวัตถุที่แปลกตาออกไปโดยมีการตัดสินใจที่รวดเร็วเป็นเครื่องมือกันตาย
และไม่ว่าจะเป็นกีฬา Extream ประเภทอะไรก็ตาม ความจริงอย่างหนึ่งที่ผู้เล่นกีฬาประเภทนี้ต้องเผชิญคือการเจ็บตัว
แน่ละว่าช่วงหนึ่งในชีวิตก่อนไขมันจะพิซิตซิคแพคไปได้หมด(เคยมีจริงๆนะ) ความสนุกในแต่ละวันของเราเองก็เป็นการออกจากบ้านไปเล่นอะไรพวกนี้ให้ปวดเมื่อยตัวกลับมา หรือถ้าวันใดได้แผลเจ็บๆคันๆวันนั้นจะรู้สึกดี แต่ทุกเวลาที่ได้ท่าใหม่หรือตั้งใจฝึกทริกอื่นๆมันจะเป็นช่วงเวลาที่โครตสนุก
เพราะความสนุกของมันคือการไม่มีกฏตายตัว
เมื่อเล่น Extream ได้ซักชนิด มันก็อยากจะหาแบบอื่นเล่นเรื่อยๆ เหมือนอย่างในหนังที่พระเอกเป็นเซียนจักรยานผาดโผนมาก่อนที่จะหัดปาร์กัว การต่อยอดของการเล่นพวกนี้เองทำให้เกิดความหลากหลาย เหมือนเด็กเสก็ตหลายคนก็ปั่นฟิกได้ และบีบอยหลายคนก็ตีลังกาได้ไม่น้อยไปกว่าเซียนฟรีรันนิ่ง
ชอบประโยคหนึ่งในหนัง ที่คนในทีมของพระเอกพูดเปรยๆให้ฟังประมาณว่า
"ไม่ว่าจะเรียกมันว่า Parkour หรือ Free running หรือจะอะไรก็ตามแต่ จุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียวคือการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ไม่งั้นเราก็จะจมอยู่แค่นั้นนั่นแหละ"
ใช่ เราต้องข้ามขีดจำกัด ไม่งั้นเราจะจมแค่นั้น นี่คือสิ่งที่ทำให้นักกีฬาฟรีรันนิ่งทั้งหลายยังอยากใช้ชีวิตผาดโผนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แม้ลึกๆจะรู้ว่าวันหนึ่งเมื่อสภาพร่างกายไม่ถึงก็ต้องหยุด แต่ก่อนหน้านั้นขอใช้ชีวิตให้สุดก่อนดีกว่า
สารภาพ ตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่ในตัวกรุงเทพผ่านพ้นไป ชีวิตสุดสบายหลายเดือนทำให้ผมเกิดความเคยชินที่จะออกไปซักซ้อมกีฬาประเภทนั้น จนมันแทบจะหายไปหมดแล้วในตอนนี้ แม้ลึกๆใจตัวเองรู้ดีว่าอยากจะกลับไปโลดโผนแบบนั้นอีกจะตาย
ไอ้การก้าวข้ามขีดจำกัดนี่เองที่ดูเหมือนจะยังคงครุกรุ่นในตัวอยู่ ในช่วงนี้ บางวัน นึกคึกก็เปิดเพลงซ้อมเต้นในบ้านบ้าง หรือหากว่างๆก็ยังมักแวะเวียนเข้ายูทูปเพื่อดูคลิปพวกนี้อยู่ ดูแม้จะรู้ว่าทำแบบนั้นไม่ได้แน่ แต่บางครั้งแต่ได้ดูก็สุขใจ
และดูเหมือนว่าไม่ใช่เพียงนักกีฬาชนิดนี้เท่านั้นที่ต้องการก้าวพ้นขีดจำกัด เราว่าลึกๆแล้วทุกคนเองก็ต้องการก้าวผ่านจุดนี้ของตัวเองไปทั้งนั้น ส่วนนั่นจะไปได้ไกลแค่ใหน คงอยู่ที่ใจและระยะเวลาในการฝึกฝน

