วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

เรียนรู้ที่จะอยู่กับ Digital Distribution

เรียนรู้ที่จะอยู่กับ Digital Distribution

ช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ยอมรับว่าอุสาห์กรรมด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิค

รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก สังเกตุจากยอดเพจขายของที่มากขึ้น
ร้านค้าออนไลน์มีมากมายจนเรียกได้ว่าแทบจะครบวงจร 
เพียงออนอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ แทปเลต หรือสมาร์ทโฟน


การจ่ายเงินเพื่อซื้อของในเน็ตยังพอเห็นสิ่งที่เป็นรูปธรรม

จนเมื่อไม่นานมานี้ ย้อนกลับไปเมื่อซักสองปีก่อน
ไม่เคยนึกว่าการขายข้อมูลดิจิตอลจะได้รับความนิยมมากถึงเพียงนี้


ในที่นี้หลายคนน่าจะรู้จักกับ iTune โปรแกรมฟังเพลงยอดนิยมอันดับ 1 ในตระกูล i

แต่สิ่งที่ iTune เป็นได้มากกว่าโปรแกรมเล่นเพลง 
คือมันยังเป็นร้านค้าที่สามารถหาเพลงจากทั่วทุกสารทิศ
เพลงจากอดีตยันเพลงที่เพิ่งออกเมื่อไม่นาน ผ่านการชำระเงินที่รวดเร็วและง่ายดาย
เพียงไม่กี่คลิก ความสุขจากเสียงดนตรีก็ถูกจับจ่ายไปในราคาที่เหมาะสม
ไม่มีแผ่นให้ไว้ใช้กับเครื่องเล่น CD ไม่มีของพรีเมียม 
ยอมรับว่าในตอนแรกผมคิดว่าการแลกเงินกับสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้
มันไม่น่าจะเป็นสิ่งสมเหตุสมผลเท่าไร


จนการใช้จ่ายเพื่อซื้อข้อมูลดิจิตอลครั้งผม 

เกิดขึ้นครั้งแรกพร้อมๆกับช่วงความนิยมของ

"Steam" โปรแกรมซื้อขายข้อมูลดิจิตอลที่มีลักษณะการทำงานคล้ายกันกับ iTune

ต่างกับเพียง Steam จะให้บริการด้านเกมเป็นส่วนใหญ่ 
เกมแรกที่ซื้อเป็นเกมอินดี้น่ารักๆ ซึ่งมีการอัพเดตอยู่แทบตลอดเวลา
ในใจคิดว่าจะเสียเงินให้กับข้อมูลที่มองไม่เห็นแค่ครั้งดีครั้งสุดท้าย
และจะไม่ซื้อเกมอะไรแล้ว 

(แต่ก่อนเป็นพวกนิยมเถื่อน ภูมิใจมากถ้าหาเกมเถื่อนมาเล่นได้จนจบ)


แต่หลังจากที่เกมเมอร์ทั่วโลกเริ่มให้ความสนใจกับโปรแกรมนี้

ก็เริ่มมีการรณรงค์เรื่องลิขสิทธ์กันมากขึ้น ข้ออ้างที่ว่า
เพราะเกมแท้หาซื้อยาก ก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ 
เมื่อเข้าถึงผู้บริโภคง่ายขึ้น ความนิยมก็ตามมา
พบว่าเวลาเพียงปีเดียว ผมซื้อเกมจากระบบนี้ไปมากว่า 50 เกมแล้ว!!
ซื้อเพราะอยากเล่นบ้าง หรือบางที เมื่อสายตาเห็นมันแปะป้างสีเขียวๆว่าลดราคา 50 - 90%
เป็นเหตุผลที่ทำให้รีบคว้าไว้ก่อนที่โอกาศนั้นจะลอยหายไปอย่างน่าเสียดาย
แต่ให้มากกว่าครึ่งของเกมที่ซื้อคือยังเล่นไม่จบซักที


ย้อนกลับมาถึง iTune ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนใช้ Gadget ตระกูล

แต่ iTune ก็ยังทำให้ผมสูญเงินไปได้ไม่น้อย 
น่าจะเริ่มต้นจากการที่ต้องการหาโหลดพวก Sound ดนตรีอิเล็กทรอนิกต่างๆไว้ฟัง
บางทีก็เป็นเพลงเก่าๆไปจนถึงเพลงที่ไม่ได้นำเข้าจากต่างประเทศ
หากหาโหลดฟรีอาจจะเสียเวลาหาและได้บิทเรตที่ต่ำจนเก็บรายละเอียดไม่ครบ(เรื่องมาก)
ทางเลือกนี้เลยเป็นทางเลือกที่ตอบสนองความต้องการได้เป็นอย่างดี


จากสิ่งที่ผมคิดว่าไม่สมเหตุสมผล 

กลายเป็นสิ่งที่วนเวียนในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว
เมื่อได้สัมผัสจริงๆกลับพบว่าบริการข้อมูลอิเล็กทรอนิกออนไลน์มันก็มีข้อดีเหมือนกัน
แรกเลยคือประกาศได้อย่างเต็มภาคภูมิ ว่า กูซื้อของถูกลิขสิทนะว้อยยยยย
แต่ในขณะที่ไมโครซอฟเวลิดที่ใช้พิมพ์นี้ยังเป็นของปลอม
อีกอย่างผมคิดว่าเป็นอะไรที่ยอดมาก กับการมีคนดูแลข้อมูลที่เราซื้อไว้
เมื่อเราจ่ายเงินไปแล้ว เราจะโหลดข้อมูลนั้นกลับมาอีกเมื่อไร ที่ใหน เท่าไรก็ได้
เปลี่ยนคอมกี่เครื่องข้อมูลที่ซื้อไว้ก็ไม่หาย เกมที่เล่นไว้ก็เซฟใส่บัญชีของเรา
ลงใหม่เครื่องใหนสามารถเล่นต่อจากจุดเดิมได้อย่างที่ต้องการ


ทั้งเกม เพลง มาถึงบริการข้อมูลดิจิตอลดาวน์โหลดล่าสุดที่ผมเพิ่งได้สัมผัส

นั่นคือบริการ E-book ของแอพ ookbee (อ่านว่า โอ้คบี) 
ซึ่งอันที่จริงมันมีมานานแล้ว แต่ผมเพิ่งได้ลองสัมผัสเมื่อไม่นาน
จากการอ่านหนังสือแบบเป็นเล่มๆ มาถึงตอนที่หนังสือถูกย่อไว้ใส่ในหน้าจอสมาร์ทโฟน
หน้าจอที่เล็กกว่าหนังสือเล่มทำให้ไม่ค่อยชินนัก 


จากช่วงแรกๆที่แอนตี้ E-book ตอนนี้ชักหลงๆในความสะดวกสบายของมันขึ้นมาบ้าง

จากไฟล์ PDF ที่แก้ไขอะไรไม่ได้มาก จนถึงไฟล์ EPUB สำหรับ iBook
พบว่าหนังสือที่ขายในแอพ ookbee ไม่มีไฟล์โหลดมาให้เห็น
เพียงแค่หนังสือที่ซื้อจะถูกเก็บไว้ในบัญชี พร้อมอ่านได้ทุกที่หากแบตยังไม่หมด
หนังสือราคาถูกกว่าแผงประมาณหนึ่งไปจนถึงบางเล่มที่มีให้อ่านฟรีๆ
กับชีวิตที่พกสมาร์ทโฟนแทบจะตลอดเวลา พบว่าเป็นอะไรที่ลงตัว
อาจจะไม่เบาและอ่านได้สบายตาเท่า Kindle แต่ก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน


ชีวิตปัจจุบันที่เทคโนโลยีกำลังล้อมกรอบเราเข้ามาเรื่อยๆ

ความสะดวกสบายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ง่ายพร้อมกับเงินที่เสียได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
การตัดสินใจจะซื้ออะไรซักอย่างอาจจะใช้เวลาตัดสินใจที่สั้นกว่าเมื่อก่อน
ลองคิดเล่นๆว่าจะเป็นอย่างไรที่การให้บริการประเภทนี้พัฒนามากขึ้น


อาจจะมีบริการเสื้อผ้าให้เช่าสำหรับนักเดินทาง

เพียงเลือกชุดที่ต้องการผ่านดีลเลอร์บนอินเตอร์เนต
เมื่อเดินทางไปถึงต้องการเปลี่ยนชุดก็นำบัญชีที่จองไว้ไปแลกเป็นเสื้อผ้า
พอถึงเวลาก็นำมาคืน หรือบริการอื่นๆที่เราคาดไม่ถึง


เคยนั่งคุยเล่นๆว่าหนังสือเล่มจะตายหรือไม่

แทบร้อยเปอร์เซนบอกว่าไม่ตาย แต่อาจจะได้รับความนิยมน้อยลง
คิดว่าอนาคตน่าจะเป็นเรื่องของการช่วงชิงทางด้านการตลาด
และการเข้าถึงมือผู้บริโภค


จุดเชื่อโยงระหว่างคำว่า เก่า และใหม่อาจจะอยู่ไม่ไกลกันมากนัก

อยู่ที่เรามองคุณค่าของสิ่งนั่นอย่างไรมากกว่า
หากเราคิดว่าคุณค่าของเพลงหนึ่งอลบั้มต้องประกอบด้วยกล่องเก็บและแผ่น
นั้นก็เป็นสิธของเราที่จะแสวงหามาเก็บสะสมไว้
หรือในบางที กลิ่นน้ำหมึกและเสียงพลิกกระดาษอาจจะเข้ากับคนบางคน
ได้ดีกว่าการที่ต้องพกอุปกรณ์สี่เหลี่ยมแบนๆ


บางครั้งเทคโนโลยีอาจจะไม่ได้มาเพื่อแทนที่

แต่สิ่งที่ดีคือเราสามารถ เลือก สิ่งที่ตอบสนองความต้องการของตัวเราได้ตรงกว่า
เพียงเท่านั้นเอง 

ขอบคุณที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้ครับ J

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

เจ้าหญิงนิทาน

คิดว่าแทบทุกคนคงเคยอ่านเทพนิยาย หรือไม่ก็น่าจะเคยได้ยินมาบ้าง
เจ้าชายกบ เจ้าหญิงนิทรา ซินเดอเลร่า สโนวไวท์ในบรรดาเรื่องราวคลาสสิก หลากหลายตัวละครหลากหลายสถานที่ แต่แทบทุกเรื่อง ต่างมีจุดหมุดหมายในตอดจบร่วมกัน
"แล้วเจ้าชายกับเจ้าหญิง ก็ครองรักกันนิรันต์ ตลอดไป..."
"แล้วทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ตราบนาน เท่านาน..."
แล้วหน้าต่อไปก็กลายเป็นกระดาษเปล่าๆ 
ปล่อยเรื่องราวหอมหวานทิ้งไว้ให้ผู้อ่านผู้ฟังได้อิ่มเอม
แต่ในความเป็นจริง ลองคิดเล่นๆ เจ้าหญิงเจ้าชายจะอยู่ด้วยกันครองรักนิรันต์ตลอดไป จริงหรอวะ? ชีวิตมันจะแฮปปี้มากขนาดนั้นเลยหรอ? คำว่าตลอดไป มันน่าจะสิ้นสุดลงเมื่อหมดอายุขัยของใครคนหนึ่ง
เรื่องราวก่อนเจ้าชายและเจ้าหญิงจะมาพบรักกัน ดังเช่นความฝัน สบตากัน ปิ้งกัน รักแรกพบกับคนที่เพิ่งเคยพบกันแล้วครองรักกันนิรันต์ ปล่อยให้เราเพ้อฝันว่าซักวันจะมีชีวิตแบบนั้น ผู้หญิงส่วนใหญ่จึงเฝ้าฝันหาเจ้าขายขี่ม้าขาว
อยากได้ผู้ชายที่แสนดีดั่งในเทพนิยาย
ในขณะที่ผู้ชายไม่น้อยต่างเฝ้าคอยการปรากฏตัวของเจ้าหญิง จนเมื่อความเป็นจริงของสังคมตีกรอบเข้ามาเรื่อยๆ เจ้าชายเจ้าหญิงเลือนรางไปพร้อมกับความห่างของอายุ
ตราบจนเมื่อเรามีใครซักคนมาอยู่ข้างๆ 
คนธรรมดาที่เราคิดว่าไม่น่าจะใช่เจ้าชายเจ้าหญิงในจิตนาการ คนที่เราไม่รู้ว่าจริงๆแล้วจะสามารถครองรักกันนิรันต์หรือไม่ ในสังคมที่อุดมไปด้วยแม่มดร้ายและปีศาจมากมายที่น่ากลัวกว่าในเทพนิยาย
การมีใครซักคนที่พร้อมฝ่าแดดลมฝนไปด้วยกันจึงน่าจะอุ่นใจกว่า
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถจะเจอใครซักคนได้ทุกคน เช่นเดียวกับฝนที่ทุกหยาดก็ไม่อาจตกลงสู่พื้นได้ทั้งหมด คนบางคนจึงยังตามหาเจ้าหญิงเจ้าชายเพื่อปลอบประโลมใจ
เริ่มรู้ตัวว่าพอโตขึ้นมาจนถึงตอนนี้ นิยายเรื่องเดิมไม่สามารถทำให้เราประหลาดใจได้เท่าครั้งแรก
เรื่องของซินเดอรเรร่ากับรองเท้าแก้วที่ได้พบรักเจ้าชายในคืนเต้นรำ ที่พอเที่ยงคืนทุกอย่างจะกลับกลายเป็นปรกติ ยกเว้นรองเท้าแก้ว!! (แม่งย้อนแย้งมาก)
เรื่องราวของสโนวไวท์ที่ก่อนเจอเจ้าชายอาจถูกคนแคระทั้งเจ็ดปู้ยี้ปู้ยำมาแล้วตั้งเท่าไร
เจ้าชายกบในช่วงก่อนพบเจ้าหญิง อาจสุงสิงกับกบสาวๆมาแล้วกี่ตัว นั้นไม่สำคัญ

สิ่งที่สนใจคือเรื่องราวหลังจากใช้ชีวิตคู่ต่อได้วยกันต่างหาก เรื่องราวหลังจากที่นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าน่าสนใจกว่าเรื่องที่ผ่านมานัก เจ้าหญิงนิทราที่นอนหลับมาหลายสิบร้อยปีอาจจะต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย นางอาจต้องหัดใช้ไอโฟนหรือเฟสบุค ในขณะที่เจ้าชายกำลังสนุกสนานกับการม่อสาวในโลกโซเชียล
แอเรียล(The Little Mermaid) อาจจะเสียใจกับน้ำที่เน่าเสียลงไปทุกวัน
และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เราเชื่อว่าคู่รักทุกคู่น่าจะต้องเคยมีปัญาหาในการใช้ชีวิตคู่
และยิ่งอยู่ในฐานะสูงศักดิ์อย่างเจ้าชาย ปัญหาน่าจะไม่น้อยเมื่อเทียบกับคนอื่น
เหมือนในเรื่อง Shrek3 สโนไวท์ จะกลายเป็นเจ้าหญิงสุดห้าว ส่วนซินเดอเรลล่าจะเป็นเจ้าหญิงแม่บ้านจอมพลัง  เจ้าหญิงนิทราจะตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล  ส่วนราพันเซล เป็นเจ้าหญิงที่มีมาดเข้มและเก่งกาจ

หลายคนเปลี่ยนไปเมื่อถึงวัยที่เปลี่ยนแปลง
บางที่การอยู่ด้วยกันอาจไม่สำคัญเท่ากับเมื่อมีปัญหา จะจับมือกันฝ่าฝันไปได้อย่างไร หากเจ้าชายนอนกรนชอบเกาตูด เจ้าหญิงจะรับได้ไหม และหากเจ้าหญิงที่อยู่ไปอยู่มา กลายเป็นสาวจู้จี้ขี้วีนและขี้จุกจิกชอบช้อปของแบรน  ถึงตอนนั้นเจ้าชายจะรับได้รึเปล่า หากเรื่องราวในตอนจบยังคงยืนยันว่าทั้งสองครองรักกันนิรันต์

ตัวอย่างการใช้ชีวิตร่วมกันของทั้งคู่ก็น่าจะเอามาดูเป็นกรณีศึกษา
คิดว่าถ้าเอาเป็นตัวอย่าง อาจจะมีหลายคู่ที่อยู่เคียงข้างกันได้อย่างนิรันต์เช่นกัน ในบางที่ สิ่งที่สำคัญของการอยู่ร่วมกันน่าจะเป็นการเข้าใจกันและกัน และยอมรับกันให้ได้หากมีใครซักคนเปลี่ยนไปจากเดิม

แม้ในวันนี้เราอาจจะยังไม่เจอเจ้าหญิงเจ้าชายที่เราคิดฝัน แต่เชื่อว่าซักวันเราน่าจะได้เจอคนที่ไม่ใช่ก็ไกล้เคียงจนกว่าจะถึงวันนั้น เราลองหันมาสู้ฝ่าฟันกับปีศาจรอบๆตัวดูก่อนดีไหมครับ ไม่แน่ว่าหลังผ่านป่าเข้าลำเนาไพรเราอาจจะเจอเจ้าชายเจ้าหญิงรออยู่ที่ปลายทางก็ได้ 
และสุดท้าย อย่าลืมว่า ชีวิตจริงไม่ได้แฮปปี้แอนดิ้งเสมอไป

- จบ(ไม่)บริบูรณ์ -

- i'm here -





- i'm here -

เป็น 30 นาทีกว่าๆที่อบอวลไปด้วยความสุข เหงา เศร้า อบอุ่น
หนังสั้นโดย Spike jonze จากเรื่อง Where the wild things are

และเรื่อง Her ที่กำลังจะฉายเดือนหน้า

เรื่องว่าด้วยชุมชนเล็กๆที่หุ่นยนต์อาศัยกับคนอย่างปรกติ

Sheldon หุ่นยนต์ PC รุ่นเก่าที่เช้าเดินทางไปทำงาน
บนรถโดยสารเส้นทางเดิมจนถึงห้องสมุด
ก่อนจะเลิกงานกลับมาเสียบปลั้กชาตแบตตัวเองที่บ้าน
ชีวิตเดิมๆจนมาเจอ Francesca สาวหุ่นยนต์อินดี้โดยบังเอิ
แล้วชีวิตก็เปลี่ยนไป กลายเป็นหุ่นยนต์ที่มีความฝัน มีความรัก

เป็น 30 นาทีที่ลงตัวทีเดียวครับ
ตอนจบจบแบบอบอุ่นแต่สะเทือนใจ
เพลงประกอบ There Are Many Of Us
อบอุ่นมากเมื่อถูกนำมาประกอบเรื่อง

ชอบๆครับ 

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

แฟรงเกนสไตน์

68400_3830226491704_1209064549_n
แฟรงเกนสไตน์
ไม่ใช่ชื่อของสัตว์ประหลาดตามความทรงจำดั่งเดิม
แต่เป็นชื่อของ วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ชายผู้ให้ชีวิตมันขึ้นมา
ชีวิตที่กลายเป็นสิ่งไรค่าน่ารังเกียจตั้งแต่ตื่นมาดูโลก
แม้กระทั่งผู้ให้ชีวิต ยังไม่คิดจะสบตากับมัน
ไม่มีแม้แต่ชื่อ ไม่มีแม้แต่ที่อยู่อาศัย
ยอบรับว่าเกิดมา 20 กว่าปี เพิ่งจะมีโอกาสอ่านตำนานของแฟรงเกนสไตน์
แบบต้นฉบับดั่งเดิมเมื่อไม่นานมานี้
ทำเอาความทรงจำที่มีเกี่ยวกับปีศาจตนนี้เปลี่ยนใหม่หมดเลย
"ตัวเราเกิดมาทำไม" คำถามที่ยักษ์ใหญ่ถามตัวเองมาตลอด
สิ่งมีชีวิตชนิดเดียว สายพันธเดียว และตัวคนเดียว
พบว่าชีวิตเปล่าเปลี่ยวยิ่งกว่าสัตว์เดียรัจฉานเสียอีก
เริ่มตั้งแต่มันถูกขับไล่ออกจากทุกๆที่ที่มันไปเยือน
เพราะหน้าตาอัปลักษณ์เกินกว่าที่ใครจะต้อนรับและนั่งปรับความเข้าใจ
แต่เนื่องด้วยมันสมอง แฟรงเกนสไตน์ศึกษาความเป็นมนุษย์จากการอ่าน
ผ่านโลกของตัวอักษรและการแอบฟังมนุษย์สนทนา
อ่านปรัชญาและประวัติศาษตร์มนุษย์จากกองหนังสือที่มีคนมาทิ้งไว้
ร่างกายที่แกร่งกว่าคนทั่วไปทำให้มันเดินทางไปใหนมาไหมได้สบาย
ข้ามน้ำภูเขา ทะเล เพียงเพื่อเสาะแสวงหาผู้สร้าง
ผู้สร้างที่มันยกย่องดั่งบิดาผู้ให้กำเนิด
แต่ทว่าผู้สร้างกับเลือกที่จะทำลายชีวิตมัน
เพียงเพราะความอัปลักษณ์เกินกว่าที่ใครจะกล้าสบตามอง
ทีแรกที่อ่านนึกว่าเป็นวรรณกรรมสยองขวัญ
แต่พอยิ่งอ่านไปเรื่อยๆ พบว่าแฟรงเกนสไตน์เป็นตัวละครที่น่าสงสารที่สุดตัวหนึ่
อาจจะเรียกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหงาที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
ยิ่งพยยามตามหาความรักความเข้าใจ
สิ่งนั้นกลับแปลเปลี่ยนเป็นความเกียจชัง ความคับแค้น
ครั้งหนึ่งที่มันพบกับผู้สร้าง บทสนทนาที่มันกล่าวขึ้นมา
หลังจากที่เพิ่งหลบการจู่โจมจากผู้สร้าง
สะท้อนถึงคุณค่าของความมีชีวิตในแบบของมัน
"ชีวิต แม้มันอาจเป็นเพียงแค่กองทุกข์
แต่ก็เป็นสิ่งที่ข้ารัก และข้าก็จะปกป้องมันไว้
โอ้ แฟรงเกนสไตน์(ผู้สร้าง) ท่านให้ความเป็นธรรมกับทุกผู้คน
แต่กลับข้า ท่านกลับประนามหยามเหยียด
ทั้งที่ข้าคือผู้สมควรที่สุดที่จะได้รับความเป็นธรรม
ข้าคือผู้เดียวที่ถูกละเว้นความสุข
ข้าเป็นคนดีมีเมตตา ทว่าความทุกข์ขมขื่น
ทำให้ข้ากลายเป็นปีศจร้าย ท่านทำให้ข้ามีความสุขสิ
แล้วข้าจะกลับไปเป็นคดีอีกครั้ง"
จนเมื่อมันแน่แก่ใจแล้วว่าตัวมันไม่อาจไกล้เคียงกับ
ความเป็นมนุษย์ได้เลย มันจึงเริ่มมองมนุษย์ตามที่มันเห็น
และสะท้อนออกมาตามแบบอย่างบุคคลทั่วไปที่มันได้เฝ้าศึกษา
เป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจเปล่งถ้อยคำออกมาเป็นเสียงภาษาได้
ดั่งเช่นท่อนหนึ่งที่มันกล่าวว่า
"แท้จริงแล้ว มนุษย์นั้นทรงอำนาจ ทรงคุณธรรมและสง่างาม
แต่ก็เลวทรามต่ำช้าด้วยในขณะเดียวกัน
บางเวลา มนุษย์ก็เป็นเพียงหน่อเชื้อไขของกฏอันชั่วร้าย
และบางเวลาก็อาจถูกเทิดทูนปานประหนึ่งเทพเจ้า
มหาบุรุษผู้ครองธรรมและเกริกเกรียตอาจเปลี่ยนกลาย
ดังที่ปรากฏมากมายในประวัติศาสตร์ เป็นผู้ไร้สิ้นคุณธรรม
บ้างก็สิ้นไร้ศักดิ์ศรี มีสภาพน่าสังเวชยิ่งกว่าตุ่นตาบอด
หรือหนอนไร้พิษสงเสียอีก
เป็นเวลานานทีเดียว ที่ข้าพเจ้าไม่อาจเข้าใจว่า
คนผู้หนึ่งกลายเป็นฆาตกรคร่าชีวิตเพื้อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างไร
หรือกระทั่งเหตุใดจึงต้องมีกฏหมายและผู้ปกครอง
แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวความชั่วช้าอำมหิตและการเข่นฆ่าแล้ว
ข้าก็หมดสิ้นความกังขา
และเบือนหน้าหนีด้วยความขยะแขยง
ข้าได้รับรู้ว่าสมบัติที่ได้รับการยกย่องนับถือที่สุด
ในหมู่เพื่อนมนุษย์ของท่านคือ การมีชาติตระกูลสูงส่งบริสุทธิ์
บวกกับความมั่งคั่งร่ำรวย แต่หากขาดไร้ทั่งสองสิ่ง
เขาก็จะมีสถานะเป็นเพียงคนจรหมอนหมิ่น
เป็นเพียงทาสที่ถูกสาปให้มาขายแรงกายตน
เพื่อสร้างผลกำไรให้แก่ผู้ได้รับเลือกเพียงหยิบมือ"
ชะตาของวิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ในการท้าทายพระเจ้า
โดยการสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาน่าจะคล้ายกับชะตาชีวิตขอ
"โพมิธีอุส" ผู้สร้างมนุษย์คนแรกจากดินเหนียว
และขโมยไฟมาให้มนุษย์ ผลจากการกระทำคือถูกสาป
ให้ถูกใดอยู่บนยอดเขาคอเคซัส ปล่อยให้เหยี่ยวจิกกินตับ
ที่งอกใหม่วันแล้ววันเล่า เป็นความทรมาณอันไม่มีสิ่นสุด
แฟรงเกนสไตน์่นเดียวกัน เข้าถูกทรมาณโดยสิ่งที่รบกวนจิตใจ
เริ่มตั้งแต่สิ่งที่เขาสร้าง กลับเป็นผู้พรากชีวิตคนในครอบครัวที่รัก
ไปทีละคนๆ จนแฟรงเกนสไตน์ต้องโทษตัวเองเสมอๆ
ชีวิตที่จมอยู่อย่างทรมาณจนวันสุดท้ายของชีวิต
กับสิ่งประดิษฐ์ที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
หนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นอีกเล่มที่อ่านแล้วประทับใจ
สะท้อนสังคมที่คนมองคนเพียงภายนอกได้เป็นอย่างดี
เช่่นสังคมยุคปัจจุบันนี้
สุดท้ายแล้วสิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิดต่างต้องการเพียงความรักความเข้าใจ
ใครซักคนที่อยู่ข้างๆเพื่อทำให้รู้่าไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลก
อาจเป็นเพื่อน หรือศัตรูก็ได้ เพียงแค่มีคนที่รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ก็พอใจแล้ว
เป็นหนังสือที่ชอบ อยากลองแนะนำให้อ่าน
หรือใครเคยหยิบผ่านตา ลองมาสนทนากันก็ยินดี 

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

Vampire

1507071_3812414886425_705051684_n
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ในที่สุด
อลบั้มรวมเพลงใหม่ที่อัพเดทได้ไวที่สุด
Vampire หรือในชื่อเดิมว่าประเทือง
ก็ได้เดินทางมาจนถึงชุดที่ 1000 จนได้ ~ #ปรบมือไม่มีแบ่งแยกค่าย มีเพียงความสดใหม่ในราคาย่อมเยาว์
แม้หลังๆจะซบเซาด้วยพิษบิททอเร้นก็ตามที
เอาดีๆ เผลอๆจะเป็นค่ายเพลงที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุดในประเทศนี้แล้วก็ได้
ในวันที่เพิ่งออกแผ่นใหม่ และคิดว่ายังคงมีต่อไปเรื่อยๆ
ตราบเท่าที่อัตราการเข้าถึงหูผู้บริโภคง่ายกว่า
เป็นตัวเลือกที่ดีให้บรรดาผู้ค้นหาโหลดจากอินเตอร์เน็ตไม่คล่อง
จำได้ว่าซื้อล่าสุดมาน่าจะเป็นเลข 800 ปลายๆ
สมัยปี 55 อัตตราการออกใหม่เร็วมาก
อัพเดทไวยิ่งกว่าเกมวิ่นนิ่งอีเลฟเว่นบ้านเราซะอีก
คิดว่าทุกคนมีศิลปินที่ชอบในดวงใจ
และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนศิลปินคนนั้นกลุ่มนั้น
การซื้อแผ่นเถื่อนมาฟังอาจจะคล้ายกับการทดลองฟัง Demo
ก่อนจะกำเงินไปซื้อแผ่นจริง
จนถึงทุกวันนี้ ดิจิตอลดาวโหลดมีมากขึ้น
เพลงทุกเพลงที่เราฟังก็ยังไม่สามารถบอกได้เต็มปากว่าฟังแต่ของแท้
แต่ปฎิเศษไม่ได้เช่นกันว่าเราสรรหาเพลงมาเสพได้ง่ายขึ้
ทั้ง Itune , Deezer , YouTube , Soundcloud
หรือเว็บ Streaming ต่างๆก็ยังมีมากพอที่จะพร้อมให้บริการ
ในมุมมองของสังคมทั่วไป การจ่ายเงินเพื่อโหลดเพลงมาฟัง
ทั้งๆที่ไม่มีวัตถุที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอัน อาจหมายถึงความฟุ้มเฟือยไร้สาระ
แต่นั้นคือทางเลือกง่ายๆ ในการกระจายรายได้ให้ถึงมือผู้ผลิตจริงๆหรือเปล่า?
แต่พอมาถึงช่วงที่ตระหนักว่างานเพลงคืองานศิลปะชนิดหนึ่ง
คุณค่าของเพลงอาจจะไม่ใช่เพียงเนื้อร้องและทำนองในความจุ 3 เมกกว่าๆ
ในหนึ่งเพลงมันน่าจะมีส่วนผสมมากกว่านั้น
จริงที่อาจไม่ใช่ทุกคนที่สามารถซื้อเพลงแท้ได้เสมอไป
ยกตัวอย่าง อลบั้ม Prism ของ Katy Perry มีทั้งหมด 16 เพลง
ใน iTUNE ขายอยู่ที่ราคา 7.99 USD หรือคิดเป็นเงินไทย 239 บาท
เพลงละ 14 บาทอาจจะดูแพงไปในวัยที่เรายังหาเงินเองไม่ได้
หรือหนัง Percy jackson sea of monsters ที่มีให้โหลดแบบ HD
อยู่ที่เรื่องละ 600 บาท อาจจะแพงไปถ้าเทียบกับ DVD สองเรื่องร้อยตามตลาด
คนบางคน เพลงละ 14 บาทอาจคุ้มค่าเมื่อแลกกับคุณภาพที่ได้รับ
ไม่จำเป็นว่าทุกอย่างจะมีความหมายสำหรับทุกคน
เหตุผลนอกนั้นอาจเป็นเรื่องของภาคภูมิใจ
ไม่ได้หมายความว่าคนซื้อเถื่อนคืออาชญากร
ข้าเจ้าเองในตอนนี้ทั้งวินโดว์ที่ใช้ โปรแกรมและเพลง
รวมไปถึงหนังมากมายในเครื่อ
ก็ยังต้องยอมรับว่าเป็นไฟล์ละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ยังคงคิดเสมอว่าถ้ามีโอกาสเมื่อไร
อาจจะสนับสนุนของแท้มาใช้บ้างเป็นครั้งคราว
ในวันที่เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์เป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่หลายประเทศ
กำลังจับตามองประเทศเรา คิดว่าเราคงไม่อยากได้ฉายาประเทศขี้ก้อป
เหมือนที่ในวันนี้เราตรีตราประเทศเพื่อนบ้านเราประเทศหนึ่งไว้เช่นนั้น
ข้าพเจ้าเองก็หวังลึกๆเล่นกันว่าซักวัน
สินค้าลิขสิทธิ์จะปรับราคาลงมากว่านี้
จนถึงราคาที่ทุกคนมิสิทธิ์ในการจับต้องเป็นเจ้าของได้ด้วยความภาคภูมิใจ
ไม่แพงเกินไปจนผู้บริโภคเอื้อมไม่ถึง
ไม่ถูกเกินไปจนผู้ผลิตต้องเฉือนเนื้อ
น่าจะมีจุดร่วมพอดีๆที่สามารถเจรจากันได้ทั้งสองฝ่่าย
.
.
.
.
.
.
.
.
.
และสุดท้าย
Vampire ของแท้ ต้องเป็นแผ่นปั้มเท่านั้น (ยังไงวะ ของแท้แต่แผ่นปั้ม =_='')

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

"แลกผู้ติดตาม"

เมื่อครู่นี่ มีแจ้งเตือนขึ้นมา
ว่าคูณได้รับการเทียบเชิญเข้ากลุ่มลับ "แลกผู้ติดตาม"
แม่เจ้า!! นี่มันหมดยุคลากเข้ากลุ่มขายตรงแล้วสินะครับ
นับๆในเดือนนี้น่าจะเป็นกลุ่มที่ 10 กว่าๆได้
ยังไม่อยากรีบกดออก ลองๆเข้าไปส่องดู
อื้มมทม ราวกับคนในนั้นถูกวางโปรแกรมไว้
ต่างคนต่างร่ายคาถามหานิยมตามแบบฉบับตัวเอง
แต่ถูกโพสต้องมีถ้อยคำบังคับ ราวกับเป็นท่อนฮุก
"กดมากดกลับ....กดมากดกลับ"
บางคนต่อให้แนวๆหน่อย
"ไลค์มาไลค์กลับ... ไลค์มาไลค์กลับ"
"จีบมาจีบกลับ...จีบมาจีบกลับ"
เออๆ มองๆดูก็เพลินดี แต่ขอโทษทีเถิด!!
แต่ละคนที่โพส กดเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์....
...
.
ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆซักคำ ให้ลึกซึ้งง~
ไม่ต้องบรรยายอะไรให้สวยเลิศเลอ~
โห้วววว แทบไม่มีใครเกินชั้นมัธยมเลยแหม่่!!
ส่วนใหญ่ ไม่แว้นบ้างก็สก๊อยบ้าง บางทีชั้นประถมยังมี
เข้าใจว่าช่วงวัยนี้ เป็นช่วงวัยที่ต่างต้องการได้รับ
การยอมรับจากคนในสังคม
ซึ่งเฟสบุคอาจจะมีดัชนีชี้วัดจากการไลค์
หรืออาจเป็นค่านิยมที่ถูกส่งสมสืบต่อกันมา
ใครมีคนไลค์ คนติดตามเยอะ คือเจ๋ง รึเปล่า?
หากย้อนกลับไปดูช่วงก่อนๆตอนเพิ่งเริ่มใช้
พบว่าตัวเราเองก็ไม่ต่างกัน แต่ตอนนั้นเฟสบุคอาจจะยังไม่มีความหลายหลายในการเข้าถึงเหมือนตอนนี้
แต่ก่อนจะเล่นที่ต้องเปิดคอม ต่อเน็ต บลาๆ~
เคยลองๆคุยกับเนตไอดอลหรือเพจดังๆมาบ้าง
พบว่าแต่ละคนต่างมีแนวทางเป็นของตัวเอง
หน้าตาดี มีนม เฮฮา เกรียนๆ ร้องเพลงเพราะ
หรืออะไรต่างๆที่สร้างให้เขามีคนติดตาม
โดยไม่จำเป็นต้องไปป่าวประกาศขอคนไลค์หรือฟอลโล่ว
น่าสนใจว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป
ลึกๆแล้วเราเหงาเกินไปจนต้องขวนขวายหาคนมาติดตามรึเปล่า?
เราแสวงหาคนมารับฟังสเตตัสที่เราเป็นคนพิมพ์
เพื่อจะได้เป็นการยืนยันความมั่นใจ
เพื่อให้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก
หรือกลุ่มวัยรุ่นยุคใหม่อาจจะยอมรับกันด้วยจำนวนผู้ติดตาม
แต่ไม่ว่าอย่างไร
เชื่อว่าหลายสเตัสที่พิมพ์ว่อนร่อนไปมา
บางทีเราอาจจะไม่ได้ต้องการใครก็ได้มาไลค์
ความเป็นจริง เราอาจจะรอการกดถูกใจ จากใครซักคนเพียงคนเดียวก็เป็นไปได้