เรียนรู้ที่จะอยู่กับ
Digital Distribution
ช่วงปีสองปีที่ผ่านมา
ยอมรับว่าอุสาห์กรรมด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิค
รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก
สังเกตุจากยอดเพจขายของที่มากขึ้น
ร้านค้าออนไลน์มีมากมายจนเรียกได้ว่าแทบจะครบวงจร
เพียงออนอยู่หน้าคอมพิวเตอร์
แทปเลต หรือสมาร์ทโฟน
การจ่ายเงินเพื่อซื้อของในเน็ตยังพอเห็นสิ่งที่เป็นรูปธรรม
จนเมื่อไม่นานมานี้
ย้อนกลับไปเมื่อซักสองปีก่อน
ไม่เคยนึกว่าการขายข้อมูลดิจิตอลจะได้รับความนิยมมากถึงเพียงนี้
ในที่นี้หลายคนน่าจะรู้จักกับ iTune โปรแกรมฟังเพลงยอดนิยมอันดับ
1 ในตระกูล i
แต่สิ่งที่
iTune เป็นได้มากกว่าโปรแกรมเล่นเพลง
คือมันยังเป็นร้านค้าที่สามารถหาเพลงจากทั่วทุกสารทิศ
เพลงจากอดีตยันเพลงที่เพิ่งออกเมื่อไม่นาน
ผ่านการชำระเงินที่รวดเร็วและง่ายดาย
เพียงไม่กี่คลิก
ความสุขจากเสียงดนตรีก็ถูกจับจ่ายไปในราคาที่เหมาะสม
ไม่มีแผ่นให้ไว้ใช้กับเครื่องเล่น
CD ไม่มีของพรีเมียม
ยอมรับว่าในตอนแรกผมคิดว่าการแลกเงินกับสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้
มันไม่น่าจะเป็นสิ่งสมเหตุสมผลเท่าไร
จนการใช้จ่ายเพื่อซื้อข้อมูลดิจิตอลครั้งผม
เกิดขึ้นครั้งแรกพร้อมๆกับช่วงความนิยมของ
"Steam" โปรแกรมซื้อขายข้อมูลดิจิตอลที่มีลักษณะการทำงานคล้ายกันกับ iTune
ต่างกับเพียง
Steam จะให้บริการด้านเกมเป็นส่วนใหญ่
เกมแรกที่ซื้อเป็นเกมอินดี้น่ารักๆ
ซึ่งมีการอัพเดตอยู่แทบตลอดเวลา
ในใจคิดว่าจะเสียเงินให้กับข้อมูลที่มองไม่เห็นแค่ครั้งดีครั้งสุดท้าย
และจะไม่ซื้อเกมอะไรแล้ว
(แต่ก่อนเป็นพวกนิยมเถื่อน
ภูมิใจมากถ้าหาเกมเถื่อนมาเล่นได้จนจบ)
แต่หลังจากที่เกมเมอร์ทั่วโลกเริ่มให้ความสนใจกับโปรแกรมนี้
ก็เริ่มมีการรณรงค์เรื่องลิขสิทธ์กันมากขึ้น
ข้ออ้างที่ว่า
เพราะเกมแท้หาซื้อยาก
ก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
เมื่อเข้าถึงผู้บริโภคง่ายขึ้น
ความนิยมก็ตามมา
พบว่าเวลาเพียงปีเดียว
ผมซื้อเกมจากระบบนี้ไปมากว่า 50 เกมแล้ว!!
ซื้อเพราะอยากเล่นบ้าง
หรือบางที เมื่อสายตาเห็นมันแปะป้างสีเขียวๆว่าลดราคา 50 - 90%
เป็นเหตุผลที่ทำให้รีบคว้าไว้ก่อนที่โอกาศนั้นจะลอยหายไปอย่างน่าเสียดาย
แต่ให้มากกว่าครึ่งของเกมที่ซื้อคือยังเล่นไม่จบซักที
ย้อนกลับมาถึง iTune ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนใช้
Gadget ตระกูล i
แต่
iTune ก็ยังทำให้ผมสูญเงินไปได้ไม่น้อย
น่าจะเริ่มต้นจากการที่ต้องการหาโหลดพวก
Sound ดนตรีอิเล็กทรอนิกต่างๆไว้ฟัง
บางทีก็เป็นเพลงเก่าๆไปจนถึงเพลงที่ไม่ได้นำเข้าจากต่างประเทศ
หากหาโหลดฟรีอาจจะเสียเวลาหาและได้บิทเรตที่ต่ำจนเก็บรายละเอียดไม่ครบ(เรื่องมาก)
ทางเลือกนี้เลยเป็นทางเลือกที่ตอบสนองความต้องการได้เป็นอย่างดี
จากสิ่งที่ผมคิดว่าไม่สมเหตุสมผล
กลายเป็นสิ่งที่วนเวียนในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว
เมื่อได้สัมผัสจริงๆกลับพบว่าบริการข้อมูลอิเล็กทรอนิกออนไลน์มันก็มีข้อดีเหมือนกัน
แรกเลยคือประกาศได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ว่า กูซื้อของถูกลิขสิทนะว้อยยยยย
แต่ในขณะที่ไมโครซอฟเวลิดที่ใช้พิมพ์นี้ยังเป็นของปลอม
อีกอย่างผมคิดว่าเป็นอะไรที่ยอดมาก
กับการมีคนดูแลข้อมูลที่เราซื้อไว้
เมื่อเราจ่ายเงินไปแล้ว
เราจะโหลดข้อมูลนั้นกลับมาอีกเมื่อไร ที่ใหน เท่าไรก็ได้
เปลี่ยนคอมกี่เครื่องข้อมูลที่ซื้อไว้ก็ไม่หาย
เกมที่เล่นไว้ก็เซฟใส่บัญชีของเรา
ลงใหม่เครื่องใหนสามารถเล่นต่อจากจุดเดิมได้อย่างที่ต้องการ
ทั้งเกม เพลง
มาถึงบริการข้อมูลดิจิตอลดาวน์โหลดล่าสุดที่ผมเพิ่งได้สัมผัส
นั่นคือบริการ
E-book ของแอพ ookbee (อ่านว่า โอ้คบี)
ซึ่งอันที่จริงมันมีมานานแล้ว
แต่ผมเพิ่งได้ลองสัมผัสเมื่อไม่นาน
จากการอ่านหนังสือแบบเป็นเล่มๆ
มาถึงตอนที่หนังสือถูกย่อไว้ใส่ในหน้าจอสมาร์ทโฟน
หน้าจอที่เล็กกว่าหนังสือเล่มทำให้ไม่ค่อยชินนัก
จากช่วงแรกๆที่แอนตี้ E-book ตอนนี้ชักหลงๆในความสะดวกสบายของมันขึ้นมาบ้าง
จากไฟล์
PDF ที่แก้ไขอะไรไม่ได้มาก จนถึงไฟล์ EPUB สำหรับ iBook
พบว่าหนังสือที่ขายในแอพ
ookbee ไม่มีไฟล์โหลดมาให้เห็น
เพียงแค่หนังสือที่ซื้อจะถูกเก็บไว้ในบัญชี
พร้อมอ่านได้ทุกที่หากแบตยังไม่หมด
หนังสือราคาถูกกว่าแผงประมาณหนึ่งไปจนถึงบางเล่มที่มีให้อ่านฟรีๆ
กับชีวิตที่พกสมาร์ทโฟนแทบจะตลอดเวลา
พบว่าเป็นอะไรที่ลงตัว
อาจจะไม่เบาและอ่านได้สบายตาเท่า
Kindle แต่ก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน
ชีวิตปัจจุบันที่เทคโนโลยีกำลังล้อมกรอบเราเข้ามาเรื่อยๆ
ความสะดวกสบายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ง่ายพร้อมกับเงินที่เสียได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
การตัดสินใจจะซื้ออะไรซักอย่างอาจจะใช้เวลาตัดสินใจที่สั้นกว่าเมื่อก่อน
ลองคิดเล่นๆว่าจะเป็นอย่างไรที่การให้บริการประเภทนี้พัฒนามากขึ้น
อาจจะมีบริการเสื้อผ้าให้เช่าสำหรับนักเดินทาง
เพียงเลือกชุดที่ต้องการผ่านดีลเลอร์บนอินเตอร์เนต
เมื่อเดินทางไปถึงต้องการเปลี่ยนชุดก็นำบัญชีที่จองไว้ไปแลกเป็นเสื้อผ้า
พอถึงเวลาก็นำมาคืน
หรือบริการอื่นๆที่เราคาดไม่ถึง
เคยนั่งคุยเล่นๆว่าหนังสือเล่มจะตายหรือไม่
แทบร้อยเปอร์เซนบอกว่าไม่ตาย
แต่อาจจะได้รับความนิยมน้อยลง
คิดว่าอนาคตน่าจะเป็นเรื่องของการช่วงชิงทางด้านการตลาด
และการเข้าถึงมือผู้บริโภค
จุดเชื่อโยงระหว่างคำว่า เก่า
และใหม่อาจจะอยู่ไม่ไกลกันมากนัก
อยู่ที่เรามองคุณค่าของสิ่งนั่นอย่างไรมากกว่า
หากเราคิดว่าคุณค่าของเพลงหนึ่งอลบั้มต้องประกอบด้วยกล่องเก็บและแผ่น
นั้นก็เป็นสิธของเราที่จะแสวงหามาเก็บสะสมไว้
หรือในบางที
กลิ่นน้ำหมึกและเสียงพลิกกระดาษอาจจะเข้ากับคนบางคน
ได้ดีกว่าการที่ต้องพกอุปกรณ์สี่เหลี่ยมแบนๆ
บางครั้งเทคโนโลยีอาจจะไม่ได้มาเพื่อแทนที่
แต่สิ่งที่ดีคือเราสามารถ
เลือก สิ่งที่ตอบสนองความต้องการของตัวเราได้ตรงกว่า
เพียงเท่านั้นเอง
ขอบคุณที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้ครับ J


